จตุบุรุษ???

ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล โฟกัส “นโยบายการเงิน-การคลัง” ภายใต้การนำของ “นายกฯอนุทิน” กับ “3 ลูกหม้อ” คุณภาพสูง! จากกระทรวงการคลัง “เอกนิติ – ลวรณ – วิทัย” พวกเขาก็ไม่ต่างจาก…ทีมอาเวนเจอร์ “จตุบุรุษ” ที่จะมีส่วนสำคัญอย่างมาก ต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่หยั่งรากฝังลึกมายาวนาน หากแผนการนี้ประสบผลสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น ก็ไม่แน่ว่า…จาก 4 เดือน อาจได้ต่อสัญญารอบใหม่อีก 4 ปี
เมื่อช่วงเที่ยงวานนี้ (7 ก.ย.2568) ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย, ทันทีที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 32 ของประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เปิดแถลงอย่างเป็นทางการ ตอนหนึ่งที่พูดไว้อย่างน่าสนใจ นั่นคือ…
“ผมเองยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความตระหนักดีกว่า การเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันนี้อาจมีข้อจำกัดหลายด้านในการปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน แต่ขอให้ความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนว่า ตัวผมและครม.จะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ใช้กำลังกาย กำลังสมอง ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ โดยเร็วที่สุด”
ก่อนจะย้ำว่า…ด้วยเวลาที่มีอยู่ จะเร่งแก้ปัญหา 4 ด้านที่เป็นภัยคุกคาม และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน คือ…
1.ปัญหาเศรษฐกิจ จะเร่งดำเนินมาตรการลดรายจ่าย ค่าครองชีพ ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง ค่าขนส่ง ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และเสริมสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ประชาชน และตลอดจนชุมชนท้องถิ่น
2.จะเร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อลดความสูญเสียของประชาชน แต่จะยึดหลักการไทยไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว คนไทยต้องไม่เสียประโยชน์ และดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข โดยรัฐบาลจะเร่งชดเชยให้พี่น้องผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและครอบคลุมทุกหลังคาเรือน ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาอาจล่าช้าไปบ้าง
3.เรื่องภัยธรรมชาติ จะต่อยอดทำระบบเตือนภัย โดย ปภ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่หยุดในการหาระบบเตือนภัย และระบบเยียวยาฟื้นฟู โดยจะเร่งชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงทีและเป็นธรรม ซึ่งตนเองทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ควบ รมว.มหาดไทย ยืนยันว่าจะแก้ปัญหาทันที และไม่มีอุปสรรคใด ๆ
และ 4.จะแก้ปัญหาภัยสังคม โดยจะเร่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ การพนัน การพนันออนไลน์ โดยสร้างความร่วมมือกับเพื่อนบ้าน และมิตรประเทศ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าตนเองมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาด้วยบุญคุณของใคร ยกเว้นบุญคุณของพี่น้องประชาชนชาวไทย ผ่าน สส.
“ผมมั่นใจว่าประสบการณ์ของผม คณะรัฐมนตรีที่กำลังคัดสรรและแต่งตั้งให้มาทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนน จะไม่มีเวลาให้ทดลองงาน แต่เมื่อทุกคนถวายสัตย์แล้วจะปฏิบัติงานได้ทันที”
และอีกประโยคสำคัญที่ว่า…“ผมและคณะรัฐมนตรีจะไม่มีวันหยุด ไม่มีพักร้อน ถ้าเป็นไปได้จะไม่มีเจ็บป่วย ใน 4 เดือน และจะต้องเร่งขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤตให้จงได้ในระยะเวลาที่มีอยู่”
โฟกัสกับบางคำพูดที่อาจประเด็นนำไปสู่การวางหมากเกมการเมืองในวันข้างหน้า…
“หลังจากนั้นจะสร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อรัฐบาลคนต่อไปมาสานต่อการทำงาน โดยดำรงเจตนารมณ์ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีความมั่นคงในชีวิตด้วยความมั่นคงตลอดไป รวมทั้งการสร้างความสามัคคีของคนชาติ รวมกันเป็นพลังในการพัฒนาประเทศไทย”
ถอดรหัสแปลความจากประโยคข้างต้น หมายความว่า…
หาก “รัฐบาลอนุทิน” สามารถทำได้ตามคำมั่นสัญญาและคำแถลงการณ์ดังกล่าว 4 ภารกิจเร่งด่วน! สิ่งนี้…จะปูทางสร้างโอกาสในทางการเมืองครั้งใหม่ ให้พวกเขาได้กลับสู่ “อำนาจรัฐ” อีกครั้ง! ภายหลังจากคืนอำนาจให้ประชาชน ตัดสินใจกันใหม่
ประเด็นที่อยู่ในความสนใจมากที่สุด! คงไม่พ้นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ทั้ง…เศรษฐกิจภาพใหญ่และเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องประชาชนไทย ซึ่งวันนี้…ประเทศไทยบอบช้ำอย่างมาก จากนโยบาย “ลองผิดลองถูก” มาตลอด 2 ปีกับ “รัฐบาลเพื่อไทย” นี่ยังไม่นับรวม…8-9 ปีก่อนหน้านั้น และอีกหลายปีก่อนหน้านั้นไปอีก…
ทันทีที่มีการวางตัว “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล หลายคนอาจรู้สึกลังเลใจ แต่หากลงลึกถึง “ฉากทัศน์” ของ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่ต้องดูแลเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค โดยเฉพาะ “เศรษฐกิจฐานราก” ที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมากด้วยแล้ว…
1 + 3 บุรุษ…ที่จะเข้ามาทำงานในห่วงเวลาสั้นๆ นับจากนี้ ล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างที่สุด!…เริ่มที่ คนเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” นายอนุทิน ตามมาด้วย “ว่าที่ รมว.คลัง” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ, นายวิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ และตัวยืนคนสุดท้าย นั่นคือ…นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง
พวกเขา…มิต่างจาก “จตุบุรุษ” ที่มีส่วนสำคัญอย่างที่สุด! ต่อการแก้ไข “ปัญหาเฉพาะหน้า” ทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยและคนไทย ได้หลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นโดยไว
ภายใต้เงื่อนไขช่วงเวลา 4 เดือน หรืออาจนานมากกว่านั้นเล็กน้อย…
การสร้าง “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มุ่งเส้นการดำเนินงานทางด้าน นโยบายการเงินและการคลัง นั้น “นายกฯอนุทิน” จำเป็นจะต้องมี “ทีมงาน” ที่เก่งในเชิงวิชาการ และสามารถทำงานได้จริงในเชิงนโยบาย
กระทั่ง สร้าง “ผลลัพธ์” ที่จับต้องได้ในเวลาอันสั้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นทั้งจากประชาชนและนักลงทุน โดยเร็ว...
เหตุผลที่หยิบเอา “จตุบุรุษ” ทั้ง 4 คนมาเป็น “จิ๊กซอว์” ตัวสำคัญ นั่นเพราะ 3 ใน 4 ของพวกเขา คือ “ทีมแอดเวนเจอร์” จากระทรวงการคลัง
โดยเฉพาะ ดร.เอกนิติ และ นายวิทัย ถือเป็น “ลูกหม้อ” ของกระทรวงหลักทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ...
คนหนึ่ง…เป็น อดีตข้าราชการระดับสูง ผ่านเก้าอี้ “อธิบดีกรมภาษี” มาแล้ว 2 กระทรวง และได้รับการยอมรับในฐานะ ผู้มีผลงานโดดเด่น! โดยเฉพาะบทบาท…ผู้นำการพัฒนาระบบภาษีดิจิทัลที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและเพิ่มความโปร่งใส ในกรมสรรพากร
อีกทั้งยังเคยทำงานร่วมกับ “องค์การระหว่างประเทศ” ทางด้านเศรษฐกิจและการคลัง ทำให้มีความเข้าใจเชิงโครงสร้างทั้งในและนอกประเทศเป็นอย่างดี
การมาของเขาในตำแหน่งนี้ จึงถูกมองว่า…เป็นการเลือกคนที่เหมาะสมอย่างที่สุด! ในภาวะที่ต้องการทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและการจัดทำงบประมาณที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพ
ว่ากันว่า…เขาคือตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของ นายกฯอนุทิน ข่าวการทาบทามคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นของปลอม เป็นเพียงการสร้างมูลค่าเพิ่มของใครบางคน? เท่านั้น
อีกคน…เป็น “ซีอีโอ” ของแบงก์รัฐ อย่าง ธนาคารออมสิน ว่ากันว่า…การแต่งตั้ง นายวิทัย ขึ้นเป็น “ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า…ธนาคารกลางกำลังจะเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยเข้มงวดและเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” กับรัฐบาล ไปสู่การทำงานเชิงประสานมากขึ้น???
การที่เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และมีบทบาทในการผลักดันมาตรการสินเชื่อเพื่อประชาชนฐานราก ทำให้มีความเข้าใจปัญหาของผู้มีรายได้น้อยและ SMEs โดยตรง
และสิ่งนี้ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า…ภายใต้การนำของนายวิทัย นั้น แบงก์ชาติ…อาจใช้นโยบายการเงินแบบ “ผ่อนคลายเชิงรุก” เพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่าเดิม…
ขณะที่ ปลัดฯลวรณ ซึ่งถือเป็น…ผู้ที่มากบารมีและมีบทบาทที่โดดเด่นในช่วงรัฐบาลก่อนๆ ที่สำคัญ ตัวเขามีส่วนสำคัญอย่างมาก ต่อการผลักดันให้ โครงการ “คนละครึ่ง” ที่ “รัฐบาลอนุทิน” เตรียมจะนำมาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างลงตัว และสามารถดำเนินโครงการได้ทันที!!!
ในฐานะ “ปลัดกระทรวงการคลัง” และเป็น “พี่ของน้องๆ” ทำให้ตัวเขาถูกจับตามองว่า…สามารถจะประสานการทำงานกับ “รมว.คลังคนใหม่” และ “ผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนใหม่” ได้อย่างลงตัวอย่างที่สุด!
โครงการ “คนละครึ่ง” จะช่วยให้ประชาชนได้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แถมยังช่วยเพิ่ม การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปถึง SMEs และร้านค้าในระดับชุมชนโดยตรง โครงการนี้….จึงนับเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่รัฐบาลชุดนี้ ต้องการใช้เพื่อสร้างความรู้สึกถึง “การฟื้นตัว” ในระยะสั้น ได้เป็นอย่างดี
สำคัญกว่านั้น สิ่งที่ สังคมไทย กำลังเฝ้าจับตามอง ก็คือ…ความสัมพันธ์ของตัวบุคคล จะนำมาซึ่งการทำงานที่เป็นเนื้อเดียวกัน ที่แม้ แต่ละคน แต่ละองค์กร ต่างก็มี “เอกภาพ” แต่ก็สามารถหลอมรวมไปด้วยกัน เพื่อเป้าหมายสูงสุด…
ทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวังวนของปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังประสบกันอยู่โดยเร็ว…
3 คน…“ศิษย์เก่า-ใหม่” ของกระทรวงการคลัง จะต้องทำงานประสานกับ “นายกฯอนุทิน” โดยตรง
และเพราะพวกเขา…ล้วนเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูง และมีทั้งประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และความใกล้ชิดในการทำงานร่วมกันมาก่อน…
จึงมีความเป็นไปได้สูง! จะสร้าง “เอกภาพ” ในเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลายรัฐบาลก่อนหน้านี้…ไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง
นี่คือ…จุดที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับ “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลอนุทิน!!!
ถ้าจะมีปัญหาอยู่บ้าง? คงเพราะ…ความดำรงไว้ซึ่ง “อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว” ของเครือข่ายอำนาจเก่าในแบงก์ชาติ ที่อาจเป็นอุปสรรรคต่อการทำงานและวางทิศทางใหม่ของ “ว่าที่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่”
หาก นายวิทัย มิอาจสั่งการงานในแบงก์ชาติได้ สิ่งนี้…ก็อาจกลายอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและยาว ของ “รัฐบาลอนุทิน” อย่างไม่ต้องสงสัย!!!
จำเป็นที่ นายกฯอนุทิน และฝ่ายการเมือง รวมถึงสังคมไทยเอง ต้องช่วยกัน “จับตา” เครือข่ายอำนาจเก่าฯ ที่ว่านี้ อย่างใกล้ชิด!!!
ถูก-ผิด! วัดกันที่ข้อมูลและข้อเท็จจริง??? จะปล่อยให้ “คนหัวเก่า” ที่ชาชินอยู่กับการทำงานบน “หอคองาช้าง” ในห้องแอร์ คอยตัดสินและชี้ชะตากรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสและรับรู้ถึงปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชน และภาคธุรกิจน้อยใหญ่ มาก่อนเลย…คงไม่ได้อีกแล้ว!!!
กลับมาสู่ “ภารกิจหลัก” แห่งความเป็นจริง! ของ “จตุบุรุษ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า…หนึ่งในความท้าทายของ “รัฐบาลอนุทิน” นอกเหนือจากปัจจัยทางด้านการเมืองแล้ว ก็คือ…การแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน ล้วนเต็มไปด้วยโจทย์ใหญ่…
ทั้ง ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่สูงกว่า 90% ของ GDP การส่งออก ที่ยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ที่ลดน้อยลง และ ภาคการท่องเที่ยว ที่แม้จะกลับมาคึกคัก! แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง และกระจายไปยังภูมิภาคได้ทั่วถึง
กระนั้น สังคมไทยก็ได้เริ่มเห็น…สัญญาณบวกบางอย่าง? โดยเฉพาะเมื่อ…คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ 1.50% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในช่วงปลายนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า
แนวโน้มนี้ สอดคล้องกับความเห็นของ นายวิทัย ที่เคยระบุก่อนหน้านี้ว่า…การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการลงทุน การบริโภค และการขยายตัวของ SMEs ในขณะเดียวกันก็ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในระดับที่เป็นประโยชน์ต่อภาคส่งออก ทั้งยังช่วยบรรเทาภาระหนี้ของครัวเรือนและผู้ประกอบการที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อ
ผลกระทบในวงกว้างเช่นนี้ อาจช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ยังต้องระวังเรื่องเสถียรภาพการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แต่การสื่อสารเชิงนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องจากแบงก์ชาติจะช่วยรักษาสมดุลไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่พ้นคือ อายุของรัฐบาล ที่แม้อาจยืนได้เกิน 4 เดือน แต่ก็ไม่ยาวนานพอ สำหรับการวางแผนปฏิรูปเชิงโครงสร้างระยะยาว
ความเป็นจริงนี้ ทำให้ “รัฐบาลอนุทิน” จำเป็นต้อง เดินเกม 2 ชั้นในเวลาเดียวกัน ชั้นแรก…คือ การเร่งมาตรการที่สร้างผลลัพธ์จับต้องได้ในระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งเวอร์ชันใหม่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการลงทุนสาธารณะที่ดำเนินการได้ทันที
ส่วน ชั้นที่สอง…คือ การสร้างกรอบนโยบายระยะยาวในเชิง “ทุนทางการเมือง” เพื่อรองรับการเป็นรัฐบาลสมัยต่อไป หรือที่อาจเรียกว่า “รัฐบาลอนุทิน 2”
การออกแบบแผนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนเห็นถึงความต่อเนื่อง แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นแก่ตลาดว่าประเทศไทยจะไม่สะดุดแม้มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอีกครั้ง
บทบาทของ ทีม “จตุบุรุษ” นี้ จึงมีความหมายใน 2 มิติ ด้านหนึ่ง…คือ การสร้างความหวังแก่ประชาชนว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นจริงในเร็ววัน อีก ด้านหนึ่ง…คือ การสร้างภาพจำว่า รัฐบาลชุดนี้สามารถเริ่มต้นปูทางสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างในอนาคตได้
หากสามารถ ยืนระยะทางการเมืองต่อไปได้อีกสมัยหนึ่ง การเดินหน้าแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น…เรื่องการลดหนี้ครัวเรือน, การสร้างขีดความสามารถให้ SMEs แข่งขันในตลาดโลก หรือแม้แต่ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ทั้งหมดล้วนเป็น ภารกิจที่ต้องใช้เวลาเกินกว่าอายุของรัฐบาลปัจจุบัน ที่สามารถเริ่มวางรากฐานได้ตั้งแต่วันนี้!!!
เมื่อมอง “ภาพรวม” ทั้งหมด การรวมตัว “ทีมเศรษฐกิจ – จตุบุรุษ” ของ “นายกฯอนุทิน” ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการจัดตั้ง “ทีมเศรษฐกิจ” ตาม “ธรรมเนียมการเมือง” แต่เป็นการเลือกบุคคลที่มีประสบการณ์ตรงและสามารถทำงานประสานกันได้จริง
การผนึกกำลังกันของ “จตุบุรุษ” ที่มีศักยภาพ…ในการจะทำให้การบริหารเศรษฐกิจไทย ได้หลุดพ้นจากภาวะชะงักงัน และก้าวข้าม “กับดักหลุมดำ” ทางเศรษฐกิจ…ที่ค้างคามานาน
เชื่อแน่ว่า…หากพวกเขาสามารถสร้างผลงานเชิงประจักษ์ได้ภายในเวลาที่มีอยู่ แม้อายุรัฐบาลจะไม่ยืนยาว แต่ก็อาจเพียงพอที่จะเปลี่ยนความไม่เชื่อมั่น ให้กลับกลายเป็นโอกาส และวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง สู่การฟื้นฟูที่ยั่งยืนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี!!!.