ปฏิเสธ! ‘ความจริงสำเร็จรูป’ จาก…ทรัมป์

“ทรัมป์ โทร. ทิน” เรื่องเล่าระหว่างรบ! ที่เกิดขึ้นจริง เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยเลือกจะใช้เป็นกลยุทธ์สื่อสารกับโลก มากกว่าจะน้อมรับเอา “ความจริงสำเร็จรูป” ที่ ปธน.ทรัมป์ ยัดเยียดมาให้!!! สายตรงจาก “วอชิงตัน” ว่าด้วยเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา มิอาจกดดันให้ไทยต้องเดินตาม แต่ลึกกว่านั้น ทุกฝ่ายสมประโยชน์!!??

เหตุปะทะระหว่าง…ทหารไทยและกัมพูชา กลายเป็นจุดสนใจของนานาชาติ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า…คงไม่พ้น ท่าทีของชาติมหาอำนาจ…ทั้งฝั่งสหรัฐอเมริกาและจีน

ทุกครั้งที่…นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขยับ! และการที่ นายสี จิ้นผิง เขยื้อน! ต่อเหตุการณ์ข้างต้น ล้วนเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก???

ล่าสุด เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ต่อสายตรงโทร.คุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ในสภาวะ “รักษาการ” และเป็น ผู้นำไทย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับกองทัพสื่อมวลชนในเรื่องนี้…

หลายฝ่ายเชื่อว่า…ภาพจริงที่อยู่ “หลังฉาก” ก็คือ…ทั้งสหรัฐฯ และจีน ต่างก็แอบเชียร์…แอบหนุนให้กองทัพไทย เปิดฉากถล่ม! กัมพูชา โดยเฉพาะ…พื้นที่ที่เคยเป็น หรือยังคงเป็นอาคารสำนักงานสแกมเมอร์ ที่กองทัพกัมพูชา แอบซุกซ่อนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร

หากสหรัฐฯไม่แอบเชียร์…แอบหนุน ก็คงไม่ “ไฟเขียว” ให้กองทัพอากาศไทย นำเครื่องบินรบ F-16 ขึ้นบินถล่ม จนหลายพื้นที่ทางการทหารของกัมพูชา ราบเป็นหน้ากอง???

และ ฝ่ายจีนเอง ทางกรุงปักกิ่ง ก็คงต้องแสดงท่าทีบางอย่างที่ “บีบ” ให้กองทัพไทย ต้องหยุดทำลายฝ่ายกัมพูชา

แต่เมื่อ 2 ชาติมหาอำนาจ ค่อนข้างจะนิ่งกับเรื่องนี้ ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น…รัสเซีย, อียู, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง เพื่อนบ้านอาเซียน

นั่นมันก็ชัดเจนว่า…ทุกฝ่ายต้องการให้กองทัพไทย จัดการอะไรบ้าง? ในกัมพูชา มากกว่าเหตุปะทะทางการทหาร ก็คือ…ปราบขบวนการธุรกิจสีเทา สแกมเมอร์

อาจรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอำนาจของกัมพูชา โดยเปลี่ยนเอา “ตระกูลฮุน” ที่ปกครองประเทศมายาวนานถึง 40 ปีออกไป

แล้วเอา คนในตระกูลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น…นโรดม หรือ “ตระกูลเตีย” มาปกครองกัมพูชายุคใหม่

สลับจาก “ฉากหลัง” กลับมาดู “หน้าฉาก” กับการที่ ปธน.ทรัมป์ โทร.หา นายอนุทิน

ว่ากันว่า…สิ่งนี้ ได้ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองและการทูต! ได้กว้างกว่าเหตุความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างเห็นได้ชัด???

นับเป็นการสื่อสารที่ดูจะไม่สอดคล้องกันสักเท่าใด? โดยที่ สหรัฐฯ ประกาศว่า…ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงหยุดยิง

แต่ฝ่าย “ผู้นำไทย” กลับออกมาปฏิเสธ ว่า…ไม่มีข้อสรุปเช่นนี้แต่อย่างใด?

มันได้ สะท้อน “ระดับความซับซ้อน” ทางยุทธศาสตร์ ซึ่งบ่งบอกถึง…เป้าหมายทางการเมืองที่แตกต่างกันของทั้ง 2 ฝ่าย…สหรัฐฯ และไทย

สำหรับ สหรัฐฯ โดยเฉพาะ ภายใต้การนำของ ปธ.ทรัมป์ การประกาศว่า…ตนสามารถทำให้ความตึงเครียดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คลี่คลายได้ เป็นโอกาสสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกในเวทีโลก

ปธน.ทรัมป์ เคยใช้วิธีเดียวกันในหลายบริบททางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น…คาบสมุทรเกาหลี หรือปัญหาตะวันออกกลาง

การประกาศความสำเร็จล่วงหน้าและสร้างเรื่องเล่าก่อนข้อเท็จจริงจะเกิดขึ้น นับเป็นวิธีที่สะท้อนการเมือง “สไตล์ทรัมป์” อย่างชัดเจน!!!

ในครั้งนี้ การบอกว่า…ไทยและกัมพูชา “ตกลงหยุดยิงทั้งหมด” เป็นข้อความที่สอดคล้องกับความต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีและเป็นนักสร้างสันติภาพ มากกว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง! ในสนามการทูต

ในทางกลับกัน ฝ่ายไทย โดยเฉพาะ นายอนุทิน ที่เพิ่งประกาศยุบสภาฯ สวมบท “ผู้นำรักษาการ” และกำลังเผชิญแรงกดดันจากสาธารณชนเรื่องความมั่นคงชายแดน จำเป็นต้องกำหนดท่าทีที่ชัดเจน เพื่อปกป้องความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

การชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาว่า…ไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขมาโดยตลอด และชี้ว่า “กัมพูชาต้องหยุดก่อน” ถือเป็นจุดยืนสำคัญ! ที่ทำให้ไทยไม่ถูกมองว่า…เป็นฝ่ายยอมตามแรงกดดันจากมหาอำนาจ

การออกมาปฏิเสธทันที! หลัง ปธน.ทรัมป์ โพสต์เรื่องราวข้างต้น มันยังสะท้อนภาพ การรักษา “อธิปไตยทางข้อมูล” ซึ่งมีความสำคัญในยุคที่ การสื่อสารออนไลน์ ให้กลายเป็น…เครื่องมือทางการเมือง ได้อย่างชะงักยิ่งนัก!

ท่าทีดังกล่าว จึงไม่ใช่แค่…การโต้ข้อมูล แต่เป็นการกำหนดกรอบการเจรจา และการรับรู้ของนานาชาติต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา

การที่ “ผู้นำไทย” เรียกร้องให้สหรัฐฯ ไปพูดกับกัมพูชาก่อน ไม่เพียงเป็นการกำหนดความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน แต่ยังเป็นการผลักดันให้สหรัฐฯ ได้ทำหน้าที่ “ตัวกลาง” อย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น!!!

ในขณะที่ไทยเอง ยังคงยืนหยัดในหลักการป้องกันอธิปไตยของชาติ

ผลลัพธ์ของเหตุการณ์นี้ จึงแบ่งได้อย่างชัดเจน ฝ่าย ปธน.ทรัมป์ ได้ประโยชน์ในเชิงการเมืองภายในและภาพลักษณ์ความเป็น “ผู้นำระดับโลก” ไม่ว่า…การเจรจาจะเกิดผลจริงหรือไม่? ก็ตามที

ส่วนฝ่ายไทย ได้ประโยชน์ในเชิงการรักษาความชอบธรรม และการปกป้องความจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม ความคลาดเคลื่อนของการสื่อสาร อาจทำให้ “ผู้นำสหรัฐฯ” สูญเสียความน่าเชื่อถือบางส่วน โดยเฉพาะกับบทบาทความเป็น “ตัวกลางไกล่เกลี่ย” ไปบ้าง…

และในทางกลับกัน สิ่งนี้…ก็อาจทำให้ไทย ต้องระมัดระวังมากขึ้น! ต่อการการสื่อสารกับ “รัฐบาลวอชิงตัน” ในอนาคต

ท้ายที่สุด การพูดคุยครั้งนี้ จึงเสมือนเป็นบททดสอบสำคัญของ…ภูมิรัฐศาสตร์ยุคใหม่ ที่การเมืองภายในประเทศของชาติ “มหาอำนาจ” อาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของนานาชาติ

ส่วน ประเทศไทย ซึ่งอยู่ใน “จุดตัด” ของผลประโยชน์หลายฝ่าย ย่อมต้อง…รักษาสมดุล! ระหว่างการปกป้องอธิปไตย กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ…อย่างระมัดระวัง

การแสดงท่าทีของ นายอนุทิน ในครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า…รัฐบาลไทยต้องการเป็น “ผู้กำหนด…เรื่องเล่า” ของตนเอง ไม่ใช่เล่าไปตามเรื่องราวที่ถูก “ชี้นำ” ตามคำประกาศของชาติอื่น

และเป็นการตอกย้ำว่า…บทบาทของไทยในเวทีโลก ยังต้องอาศัยความต้องการ “เดินบนเส้นทาง” ที่ยึดข้อเท็จจริง…เป็นพื้นฐาน มากกว่า…การยอมรับ “ความจริงสำเร็จรูป” ที่คนอื่นกำหนดให้ อย่างแน่นอน!!!

กระนั้น ภาพฉากหลังของความเป็นจริง…ทุกฝ่ายล้วนได้รับผลประโยชน์ ยกเว้น! “ผู้นำเผด็จการ” บางตระกูลเท่านั้น ที่อาจต้องสูญเสียอย่างย่อยยับ! แบบที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนตลอดระยะเวลา 40 ปี!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password