‘อนุทิน’ ชี้! ‘รัฐบาล 4 ด.” ทำตามสัญญา มุ่ง ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ–การเมือง’ ยกคุณภาพชีวิตคนไทยดีขึ้น

นายกฯอนุทิน โชว์วิสัยทัศน์กลางงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ย้ำ! มุ่งมั่นทำงานเต็มกำลัง ตามกรอบเวลา 4 เดือน เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และคุณภาพชีวิตประชาชน ยืนยัน! ไม่เลื่อนยุบสภา 31 ม.ค. 2569 ย้ำ! รัฐบาลทำเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อการเมืองของกลุ่มใด?

เช้าวันนี้ (5 พ.ย. 2568) ณ พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ขึ้นเวที แสดงวิสัยทัศน์ ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ภายใต้หัวข้อ Thailand’s Next Frontier: A National Economic Vision วิสัยทัศน์ประเทศไทยในโลกใหม่” ท่ามกลางผู้เข้าร่วมกว่า 3,800 คน ทั้ง คณะทูตานุทูต นักธุรกิจ นักวิชาการ และสื่อมวลชน โดยมี นายนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด เป็นผู้ดำเนินการสนทนา บรรยากาศเป็นไปอย่างเข้มข้นและได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง

นายกรัฐมนตรี เริ่มต้นด้วยการ ทบทวนผลการทำงานในช่วงหนึ่งเดือนแรกของรัฐบาลชุดปัจจุบัน พร้อมยืนยันว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้” โดยรัฐบาลได้ เตรียมการล่วงหน้าและกำหนดกรอบการทำงานชัดเจน เพื่อให้ช่วงเวลา 4 เดือนของการบริหารประเทศเป็น “ช่วงเวลาของการลงมือทำจริง ไม่ใช่การเริ่มเรียนรู้ใหม่” พร้อมเน้นย้ำว่า ทุกนโยบายจะต้องเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลาที่เหลือ และสิ่งที่ทำไม่ได้ในช่วงนี้จะถูกส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปดำเนินการต่อ

สำหรับ แนวนโยบายหลัก นายอนุทิน ย้ำว่า รัฐบาลใช้แนวคิด “Quick Big Win” หรือ “ทำสั้นหวังผลยาว” เป็นกรอบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นมาตรการที่เห็นผลได้รวดเร็วแต่สร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยให้ทุกกระทรวงจัดทำโครงการเร่งรัดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป

ในมิติทางการเมือง นายกรัฐมนตรี กล่าวอย่างชัดเจนถึง ข้อตกลงทางการเมือง (MOA) กับพรรคประชาชน ว่า เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนผ่ านการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยยืนยันว่า “จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเลื่อนการยุบสภาออกไปจากกำหนดเดิม” แม้จะมีแรงกดดันหรือความพยายามจากบางฝ่ายที่จะชะลอกระบวนการทางการเมือง พร้อมระบุว่า “คำพูดคือสัญญา” และสัญญานี้จะต้องได้รับการรักษาไว้จนถึงที่สุด

นายรัฐมนตรี ยังสะท้อนให้เห็น มุมมองด้านจริยธรรมทางการเมือง โดยกล่าวว่า การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาจำกัดนี้ ไม่ได้มุ่งสร้างอำนาจทางการเมือง แต่เป็นการรับผิดชอบต่อสถานการณ์ประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เปราะบาง การเลือกทำงานในระยะเวลา 4 เดือนจึงเป็น “พันธกิจแห่งความรับผิดชอบ” ที่จะพิสูจน์ว่า การเมืองไทยสามารถมีรัฐบาลที่ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนได้จริง โดยไม่ต้องอยู่ในอำนาจนาน

ในช่วงการสนทนา นายอนุทิน ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับกระแสวิพากษ์ที่ว่า ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินในภูมิภาค โดยยืนยันว่า “ไทยไม่ใช่ศูนย์กลางการฟอกเงิน แต่เป็นศูนย์กลางภูมิภาคที่ถูกใช้เป็นเป้าหมายของกลุ่มทุนเทา เพราะระบบการเงินไทยมีความมั่นคงและค่าเงินบาทเป็นที่ยอมรับ”

พร้อมชี้ว่า “ปัญหาดังกล่าวเกิดจากช่องว่างทางกฎหมายและการบังคับใช้ที่ยังไม่เข้มแข็ง ซึ่ง รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบปฏิบัติการลับและเปิดเผย เพื่อสกัดขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งสแกมเมอร์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ โดยย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ยอมให้ “มาเฟียหรืออิทธิพลใดใหญ่กว่ากฎหมาย”

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล ว่าเป็น “ทีมปฏิบัติจริง” ที่เข้าใจกลไกของระบบราชการและตลาด โดยทุกนโยบายต้องตอบโจทย์ปากท้องประชาชนเป็นอันดับแรก เช่น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่ดำเนินการสำเร็จภายใน 3 สัปดาห์ ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในวงกว้าง พร้อมประกาศเตรียมเปิด “เฟส 2” ภายในเดือนธันวาคม เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงปลายปี

ด้านการเงินการคลัง รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะ การปรับโครงสร้างหนี้วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมามีสภาพคล่อง ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังยังได้ขับเคลื่อนโครงการพลังงานชุมชน และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อสร้างรายได้ระยะยาวให้กับชุมชนและส่งเสริมพลังงานสะอาด รองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต

นายอนุทิน ยังกล่าวถึง แนวทางการดำเนินงานในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาล ว่า จะเน้น “ผลลัพธ์มากกว่าคำพูด” โดยโฟกัส 3 ภารกิจสำคัญ คือ หนึ่ง การยุบสภาตามกำหนด 31 มกราคม 2569 สอง การแก้ปัญหาปากท้องและค่าครองชีพ โดยเฉพาะ การลดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ สาม การดำเนินนโยบาย “คนละครึ่ง พลัส” ต่อเนื่องเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ (After Shock)

การปรากฏตัวของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการแถลงผลงาน แต่ยังสะท้อนถึงการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ที่วางตำแหน่งรัฐบาลให้เป็น “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านที่ทำงานจริง” มากกว่าจะเป็น “รัฐบาลชั่วคราวรอเลือกตั้ง” ซึ่งแตกต่างจาก ภาพลักษณ์ทางการเมืองไทยในอดีตที่รัฐบาลรักษาการมักไม่สามารถผลักดันนโยบายใดได้มากนัก

การแสดงวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ จึงมีนัยทางการเมืองที่สำคัญ ทั้งในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน นักลงทุน และสังคมระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ คำประกาศ “ทำครบสัญญา 4 เดือนแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน” ยังเป็น การส่งสัญญาณชัดเจน ว่า รัฐบาลนี้ต้องการจบวาระด้วยความสง่างามทางการเมือง และวางรากฐานการบริหารประเทศให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถต่อยอดได้ โดยเฉพาะ ในประเด็นเศรษฐกิจฐานราก พลังงานสีเขียว และธรรมาภิบาลทางการคลัง ซึ่งเป็น โจทย์ระยะยาวของประเทศ

ตลอดการแสดงวิสัยทัศน์ นายอนุทิน ยังคงใช้ภาษานุ่มนวล แต่หนักแน่น สะท้อนภาพผู้นำเชิงปฏิบัติ” ที่เข้าใจบริบทของรัฐและการเมือง พร้อมยืนยันหลักการว่า…

“ไม่มีใครใหญ่กว่ากฎหมาย และไม่มีใครอยู่เหนือประเทศชาติ”

คำกล่าวข้างต้นนี้ ไม่เพียงเป็น ข้อความทางการเมือง แต่ยังเป็นการประกาศแนวทางธรรมาภิบาลในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่รัฐบาลได้รับมอบหมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่า…

“การเมืองไทยสามารถมีช่วงเวลาที่บริสุทธิ์ได้ หากผู้นำกล้าพูดคำว่าพอ!”.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password