พันธ์ทอง’ โชว์จุดแข็ง ‘คนใน’ ทำเงินเชิงรุก! ขานรับนโยบายรัฐฯ ดัน Customs Quick Big Win ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปกป้องสังคม จัดเก็บรายได้โปร่งใส

อธิบดีกรมศุลกากร “ป้ายแดง” ชูความเป็น “ลูกหม้อ” ประกาศนโยบาย “Customs Quick Big Win” ขับเคลื่อนการทำงานเชิงรุกภายใน 4 เดือน มุ่งสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้, จัดเก็บรายได้รัฐอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ควบคู่กับการปกป้องสังคมจากสินค้าผิดกฎหมาย ย้ำ! แนวทางการทำงานที่รวดเร็ว วัดผลได้จริง เน้นการบริหารเชิงประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องแก้กฎหมายใหม่ พร้อมยกระดับกรมศุลกากรสู่ “Trade Enabler” หนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตยั่งยืน

วันนี้ (5 พ.ย. 2568) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากรคนใหม่ แถลงแนวนโยบาย “Customs Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับบทบาทของกรมศุลกากรให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยตั้งเป้า สร้างผลลัพธ์ภายในกรอบเวลาที่เหลืออีกราว 3 เดือนในการดำเนินงานจริง กำหนด ตัวชี้วัด (KPI) จากความสำเร็จของคำสั่งและการดำเนินงานให้บรรลุผลตามกรอบเวลาข้างต้น
ทั้งนี้ อธิบดีฯพันธ์ทอง ยืนยันว่า ในฐานะ “คนใน” (ลูกหม้อ) ของกรมศุลกากร ที่สั่งสมประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน เข้าใจโครงสร้างงานทุกมิติ และสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้งานใหม่ จะเร่งดำเนินงานภายใต้ นโยบาย “Customs Quick Big Win” มี เป้าหมายหลัก 2 มิติ คือ ด้านเศรษฐกิจ และ ด้านสังคม แยกเป็น 1. การส่งเสริมการค้า (Trade Enabler) 2. การจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างเป็นธรรม (Revenue Collector) และ 3.การปกป้องสังคม (Social Protector)

โดยกรมศุลกากรจะเร่งปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า–ส่งออก ลดขั้นตอนพิธีการศุลกากรให้ได้มาตรฐานสากล เร่งคืนภาษี เงินประกัน และเงินชดเชย เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ สนับสนุนการขยายตลาดส่งออกผ่านความตกลงการค้าเสรี (FTAs) พร้อมส่งเสริมระบบ AEO[U1] (Authorized Economic Operator) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรถไฟและการผ่านแดน โดยเปิดโอกาสให้ท่าเรือบก (ICD) ตรวจปล่อยสินค้าขาออกได้โดยตรง
ขณะที่ ด้านรายได้ของรัฐ กรมศุลกากรจะปรับมุมมองจาก “หน่วยจัดเก็บอากร” สู่ “หน่วยจัดเก็บภาษีครบวงจร” โดยจัดเก็บภาษีทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีอื่น ๆ ควบคู่กับการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าที่ได้รับยกเว้นอากรแต่ยังต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึง การพิจารณายกเลิกการกำหนด De minimis value เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐมีความเท่าเทียมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการทุกกลุ่ม

ในด้านการปกป้องสังคม นายพันธ์ทอง ย้ำว่า กรมศุลกากรจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันสินค้าผิดกฎหมายทุกประเภท โดยเฉพาะ สินค้าทุ่มตลาด สินค้าปลอมแปลงถิ่นกำเนิด และสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ควบคู่กับ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อควบคุมการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายในช่องทางออนไลน์ ซึ่งในวันศุกร์นี้ (7 พ.ย.) ตนได้เชิญผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์มาหารือ ซึ่งเบื้องต้นมีตอบรับแล้ว คือ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และ TikTok ส่วนรายอื่นๆ คงจะทยอยตามกัน ซึ่งกรมฯมีแผนจะจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่ขายผ่านช่องทางนี้ และมีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท โดยไม่จำเป็นต้องกฎหมายใหม่แต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ต่ออายุของการงดเว้นจัดเก็บภาษีที่จะหมดลงในสิ้นปีนี้ ตลอดจน การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการตรวจสอบสินค้า เพื่อให้กระบวนการมีความโปร่งใส รวดเร็ว และได้มาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ รวมกันมากกว่า 22 ล้านล้านบาทต่อปี มีตู้สินค้านำเข้า–ส่งออกกว่า 13 ล้านตู้ และใบขนสินค้าราว 13.8 ล้านฉบับ โดย กรมศุลกากรมีส่วนจัดเก็บรายได้ภาษีรวมกว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้ กว่า 120,000 ล้านบาทเป็นรายได้ของกรมศุลกากรโดยตรง และ กว่า 370,000 ล้านบาทเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่กรมศุลกากรจัดเก็บให้กรมสรรพากร หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งประเทศ

นายพันธ์ทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานในระยะเวลาอันสั้น จำเป็นต้องมุ่งผลสัมฤทธิ์โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแก้ไขกฎหมายใหม่ แต่จะใช้การปรับปรุงกฎระเบียบภายในที่อยู่ในอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากร โดยทุกมาตรการจะต้องผ่านความเห็นชอบจากนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกรอบนโยบายอย่างถูกต้องและโปร่งใส
สำหรับ มาตรการเร่งด่วนที่กรมศุลกากรเตรียมดำเนินการ ได้แก่ การปรับระบบตรวจตู้สินค้าให้ได้มาตรฐานสากล ภายใต้หลักคิดว่า “ผู้ประกอบการสุจริตเป็นส่วนใหญ่” โดยพิจารณาตรวจสินค้าจากมูลค่าที่สำแดงเป็นหลัก พร้อม ใช้อำนาจอธิบดีฯ ปรับระเบียบการถ่ายลำสินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังให้สามารถเปลี่ยนถ่ายตู้จากเรือลำหนึ่งสู่อีกลำได้ทันทีโดยไม่ต้องตรวจใหม่ทั้งหมด เพื่อลดภาระและระยะเวลาของภาคเอกชน

นอกจากนี้ จะเร่งเชื่อมระบบขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางรถไฟจีน–ลาว ด้วยการแก้ไขระเบียบให้รองรับการขนส่งข้ามระบบจากรางสู่ถนน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ รวมทั้งปรับปรุงให้ ด่านศุลกากรตรวจสินลาดกระบัง สามารถตรวจปล่อยสินค้าขาออกได้เพิ่มเติมจากเดิมที่รองรับเฉพาะขาเข้า เท่านั้น
อีกประเด็นสำคัญคือ การยกเลิก “เงินรางวัล” สำหรับข้าราชการระดับสูงที่ได้รับจากการจับกุมหรือการดำเนินคดีศุลกากร โดย อธิบดีฯพันธ์ทอง เห็นว่า หน้าที่ดังกล่าวเป็นภารกิจหลักของข้าราชการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีรางวัลพิเศษ ซึ่งแต่ละปีคิดเป็นมูลค่าราว 100 ล้านบาท ส่วน “เงินสินบน” ที่มอบให้แก่ผู้แจ้งเบาะแสการกระทำผิดจะยังคงไว้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการปราบปรามสินค้าหนีภาษีและสินค้าผิดกฎหมาย
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวทิ้งท้ายว่า นโยบาย “Customs Quick Big Win” เป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนกรมศุลกากรให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ด้วยเป้าหมายสร้างสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปกป้องสังคม และการจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างเป็นธรรม พร้อมเปลี่ยนบทบาทกรมศุลกากรจากหน่วยควบคุมมาเป็นหน่วยส่งเสริมการค้าอย่างแท้จริง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคง โปร่งใส และยั่งยืนในระยะยาว.







