คำพูด ‘ผู้นำ!!??’

คำพูด…มักเป็น “นาย” ของคนพูดเสมอ! ใครจะคิด…คนระดับ “ผู้นำประเทศ” อย่าง…นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะหลุดคำพูดที่อาจกลายเป็นชนวน “น้ำผึ้งหยดเดียว!”

ไม่ใช่แค่…ภายในประเทศ หากแต่ “คู่กรณี” อย่าง…กัมพูชา ย่อมจะต้องหยิบเอาคำพูดของ “ผู้นำไทย” ไปใช้ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย???

กับวลีที่ว่า…“ส่วนของกัมพูชาที่ล้ำมาฝั่งไทยก็มี และส่วนของฝั่งไทยที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน”

โฟกัส “…ส่วนของฝั่งไทยที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน”

ล้ำ…ไม่ล้ำ! ไม่รู้??? แต่ที่รู้…ท่ามกลางสถานการณ์ ชิงไหวชิงพริบในทางการเมือง ควรหรือไม่? ที่คนเป็น “ผู้นำประเทศ” จะพูดคำๆ นี้…ออกมา!!??

ที่นี้…มันก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และอาจบานปลาย ทั้งในทางการเมือง ความมั่นคง ความสงบสุขของคนในชาติ รวมถึงปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ…ไปโดยปริยาย

แม้จะเป็นเพียง…คำพูดสั้นเพียงประโยคเดียว แต่ในสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดเช่นนี้ สิ่งนี้…มันจึงส่งแรงสั่นสะเทือนกว้างไกลกว่าที่คาด ทั้งในมิติ…การเจรจาระหว่างประเทศ ภาพลักษณ์ผู้นำ และสมการการสื่อสารสาธารณะของไทยเอง

เพราะประโยคนี้ สามารถถูกตีความได้ 2 ทาง นั่นคือ…เป็นได้ทั้ง “สัญญาณของความตรงไปตรงมา” และ “จุดอ่อนเชิงต่อรอง” ในเวลาเดียวกัน

หากปราศจากกรอบอธิบายและหลักฐานเชิงพื้นที่รองรับอย่างรัดกุม สิ่งนี้ก็ย่อมเสี่ยงต่อการถูกหยิบใช้โดยคู่กรณีในเวทีทวิภาคีและสาธารณะระหว่างประเทศทันที!!!

เพื่อให้เห็นภาพครบถ้วน ต้องไม่ลืมบริบทก่อนหน้านี้…ไทยและกัมพูชา พึ่งจะลงนามปฏิญญา/ถ้อยแถลงระหว่างผู้นำ ซึ่งกำหนด “เส้นทางลดความตึงเครียด” บริเวณชายแดน โดยสาระสำคัญ คือ การถอนอาวุธหนัก การร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด การกวาดล้างขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และการจัดการพื้นที่ทับซ้อน

ทั้งหมดนี้ คือ “เงื่อนไข” ที่ฝ่ายไทย ย้ำว่า…ต้องเริ่มจากกัมพูชาก่อน ขณะที่ไทยยืนยันจุดยืน “ไม่เสียเปรียบ ไม่เสียดินแดน” และ ยังไม่พิจารณาเปิดด่านจนกว่ากระบวนการตามเงื่อนไขจะคืบหน้าอย่างน่าเชื่อถือ

ปัญหา คือ เมื่อประโยค “…ส่วนของฝั่งไทยที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน” หลุดออกจากปาก “ผู้นำไทย” คำพูดนั้น จึงได้ทำหน้าที่เป็น “ตราประทับทางการเมือง” โดยปริยาย

เพราะการยอมรับว่า…“มีการล้ำของไทยด้วย” (แม้จะเป็นการอธิบายภาพรวมของพื้นที่ทับซ้อนที่ซับซ้อน) สิ่งนี้…จึงกลายเป็น “วาทกรรมชี้ตัวเอง” ซึ่งอีกฝ่ายสามารถใช้เป็น “หลักฐานสำคัญ” สนับสนุนต่อข้อเรียกร้องหรือท่าทีในอนาคตได้

ไม่ว่าจะเป็น…การจัดระเบียบประชากรแนวชายแดน ไปจนถึงการอ้างอิงต่อคณะผู้สังเกตการณ์หรือเวทีทางการทูตต่าง ๆ

แรงกระเพื่อมทางการเมืองภายในสะท้อนทันที!!!  

สื่อและผู้วิจารณ์จำนวนหนึ่ง ชี้ว่า…นี่คือ “ถ้อยคำเสี่ยง” ที่อาจทำให้ไทยเสียเปรียบทางภาพลักษณ์ เพราะดูเสมือนเป็นการยอมรับฝ่ายตนเองในประเด็นที่อ่อนไหวสูงอย่างอธิปไต

โดยเฉพาะในช่วงที่ พื้นที่บ้านหนองจาน–บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ยังคงเป็นปมขัดแย้ง และอยู่ระหว่างจัดการเขตทับซ้อน

แม้ “รัฐบาลอนุทิน” จะกลับลำทันควัน มอบให้ “โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เปิดปฏิบัติการ “ถ้อยแถลงแก้ความเข้าใจ” ในทันที โดยชี้แจงว่า… นายกฯอนุทิน ไม่ได้ระบุว่า…“ไทยรุกล้ำพื้นที่กัมพูชา” หากแต่กำลัง …ยกตัวอย่าง “หลักการบริหารจัดการที่ยุติธรรม” ที่ว่า…

หากตรวจสอบแล้วพบการรุกล้ำของฝ่ายใด ก็ต้องจัดการย้าย/เยียวยาฝ่ายนั้นอย่างเป็นระบบ

สรุปคือ “นายกฯอนุทิน” ยกตัวอย่างเพื่ออธิบายหลักการ ไม่ใช่….การชี้พิกัดยอมรับว่า…มีประเด็นที่ “ไทยล้ำ” แบบฟันธงลงแผนที่ อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน!!!

อย่างไรก็ดี ใน สนามการสื่อสารเชิงการเมือง ความเร็วของความเข้าใจมั…กแซงหน้าความละเอียดของข้อเท็จจริง

ดังนั้น เมื่อ “คำสั้น ๆ” ถูกแชร์และตีความบนพื้นที่ออนไลน์และสื่อเชิงความคิดเห็น ก็ยิ่งตอกย้ำความกังวล ที่ว่า…ไทยกำลัง “เปิดช่องให้ตีความ” โดยไม่ตั้งใจ

ทั้งที่…นายกฯอนุทิน ยืนยันมาตลอดว่า…“จะไม่ยอมให้ประเทศเสียเปรียบ” และ “เรื่องเสียดินแดนไม่ต้องมาพูดกับตน…”

น้ำเสียงที่แข็งแรงเช่นนี้ กลับถูกกลบด้วยแรงดึงดูดของ “ประโยคเดียว” ที่กำกวมต่อการตีความออกไปในเชิงลบ!!!

คำถามใหญ่…จึงไม่ใช่แค่ว่า “พูดจริงหรือผิดจริง” หากแต่เป็น “ควรพูดหรือไม่?” ในยามที่ข้อพิพาทยังไม่จบ!

 และรายละเอียดข้อเท็จจริงในพื้นที่…ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบภายใต้กลไกทวิภาคี–อาเซียน

ดังนั้น การสื่อสารของ “ผู้นำประเทศ” จำเป็นต้อง “ล็อกบริบท” ให้แน่นเสมอ!!!

เพราะถ้อยคำจากปากของคนเป็น “นายกรัฐมนตรี” มักจะถูกใช้เป็นหลักอ้างอิง (reference) ในเอกสาร การชี้แจงทางการทูต หรือแม้แต่คอนเทนต์ประชาสัมพันธ์ของคู่กรณี

การยอมรับ “เชิงหลักการ” จึงควบคู่กับความเสี่ยง “เชิงหลักฐาน” โดยอัตโนมัติ หากไม่มีการระบุชัดว่า หมายถึง “กรณีสมมุติ” หรือ “ต้องรอผลตรวจสอบร่วม” ไม่ใช่ “การยืนยันว่ามีจุดล้ำของไทยแน่ชัด”

ในอีกด้าน ต้องยอมรับว่า…แนวทาง “พูดความจริงทั้งสอ 2 ฝั่ง” ก็มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ในตัวของมันเอง สิ่งนี้..จะส่งสัญญาณว่า…รัฐบาลไทยพร้อมเผชิญข้อเท็จจริง ไม่เลือกปฏิบัติ และยึดกติกาเดียวกันกับทุกฝ่าย

ซึ่งสอดคล้องกับ “กรอบใหญ่” ที่ฝ่ายไทยกำลังผลักดันอยู่ นั่นคือ…การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่เสี่ยง ร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด ลดอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามแดน และคลี่คลายพื้นที่ทับซ้อนด้วยกลไกที่ยอมรับร่วมกัน

ทั้งหมดคือการ “กลับไปที่กติกา” ก่อนพูดถึง…การเปิดด่าน หรือฟื้นสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิ

หากทำได้จริง! ก็อาจเปลี่ยน “ประโยคที่เสี่ยง!” ให้กลายเป็น “เครดิตความโปร่งใส” ของไทยได้เหมือนกัน

แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่ “วิธีปักหมุดความเข้าใจ” ให้ประชาชนไทยและชุมชนระหว่างประเทศรับสารเดียวกัน

ดังนั้น รัฐบาลจึงควรสื่อสารซ้ำอย่างเป็นระบบ ว่า…

1. สิ่งที่ นายกฯอนุทิน ยกมา คือ “หลักการบริหารจัดการกรณีพบการล้ำในพื้นที่ทับซ้อน” มิใช่การยอมรับพิกัดจริง

2. ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ผลตรวจสอบร่วมของฝ่ายทหาร/คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และกลไกชายแดนที่เกี่ยวข้อง

และ 3.หากมีกรณี “คนไทยไปตั้งถิ่นฐานในฝั่งที่พิสูจน์ได้ว่าอยู่ในเขตของกัมพูชา” รัฐบาลยืนยันการเยียวยาและจัดพื้นที่ทำกินใหม่โดยไม่เสียสิทธิของประชาชน

นี่คือการคุม “เรื่องเล่า” จากปากของ “ผู้นำประเทศ” และรัฐบาลไทย ที่จะต้องสื่อสารให้ชัดว่า…ประเทศไทยไม่ทอดทิ้งคนของตัวเอง พร้อมทั้งไม่ละเมิดกติกาสากล

การตั้ง “เส้นฐาน” เช่นนี้ จะทำให้ประโยคของ “ผู้นำประเทศ” ไม่ถูกจ่อคิว “ตัดต่อ” บริบทนอกประเทศ และยังช่วย คลี่แรงดันการเมืองภายใน เพราะทุกฝ่ายมี “แผนที่การสื่อสาร” ร่วมกัน โดยการ…ยืนยันอธิปไตย ยึดกระบวนการร่วม คุ้มครองประชาชน และสร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้

ที่สำคัญ เมื่อสถานการณ์ชายแดน เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ดังนั้น การย้ำว่า…ทุกก้าว ตั้งแต่การถอนอาวุธหนัก จนถึงการพิจารณาเปิดด่าน

ทุกอย่างจะเดินบน “เงื่อนไขที่ทำให้ความเสี่ยงลดลงจริง”

เหล่านี้…ย่อมช่วยรักษาระยะต่อรองของไทยบนโต๊ะเจรจา และทำให้ประโยคเดียวข้างต้นนั้น ไม่ต้องกลายเป็น “ค่าโง่” ในสายตาคู่เจรจา

ท้ายที่สุด! บทเรียนครั้งนี้ ชี้ชัดว่า…“ผู้นำในภาวะพิพาท…ต้องพูดให้พอดี”

ดีพอ…ที่จะ “เปิดช่อง” ต่อรองทางการทูต แต่ไม่ “เปิดช่อง” ตีความทางการเมือง

และ ดีพอ…ที่จะสร้างความเชื่อมั่นในประเทศ แต่ไม่สร้างภาระพิสูจน์ให้ทีมต่อรองในวันถัดไป

กรอบคิดง่าย ๆ คือ…พูดเท่าที่กติกา การตรวจสอบ และผลประโยชน์ชาติรองรับได้

และเมื่อจำเป็นต้องอ้างถึง “ทั้ง 2 ฝ่าย” ให้ย้ำซ้ำทันที! ว่า…อยู่ในกรอบพื้นที่ทับซ้อนที่กำลังตรวจสอบ และการจัดการใด ๆ จะเกิดขึ้นเฉพาะบนข้อยุติร่วมและการเยียวยาที่เป็นธรรม เท่านั้น

หากยึด…เส้นทางนี้ ประโยคเดียวข้างต้น จะไม่กลายเป็น “บาดแผลสื่อสาร” แต่จะเป็น “การค้ำประกันความน่าเชื่อถือ” ของไทยในวิกฤต! ที่ยืดเยื้อครั้งนี้!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password