ไทยถกที่มาเลย์ เพื่อ ‘เปิดด่านเขมร’ ห่วงกัมพูชาเข้มแข็ง! ท้ารบต่อในวันข้างหน้า

“บิ๊กเล็ก” นำคณะทีมไทยแลนด์ถึงมาเลเซีย ร่วมประชุม GBC ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ย้ำ! จุดยืนฝ่ายไทยทำแนวเขตและรั้วชายแดน คาด! คืบหน้าไร้สิ่งน่ากังวล ด้าน “สีหศักดิ์” เผย! เตรียมลงนาม “ประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา” ขีดโรดแมปถอนอาวุธหนัก กู้ทุ่นระเบิด และปราบอาชญากรรมข้ามชาติ สะท้อนความร่วมมือ 2 ชาติเดินหน้าสู่สันติภาพอย่างเป็นรูปธรรม ห่วงเขมรเข้มแข็ง รอวันท้าไทยรบต่อ

วันนี้ (23 ตุ.ค.2568) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม นำคณะทีมไทยแลนด์ เดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วม การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 โดยมี วาระสำคัญเกี่ยวกับการสร้างรั้วและการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ

รมว.กลาโหม กล่าวก่อนการประชุมฯ ว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ได้มีมติให้เร่งรัดการดำเนินการตาม TOR 2003 โดยนำเทคโนโลยี LiDAR มาช่วยจัดทำแผนที่ภาพถ่ายแนวเขต และเห็นชอบให้วางหมุดชั่วคราวบริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อใช้ตรวจสอบแนวเขตก่อนเสนอผลให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายพิจารณา ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้ขอถอนวาระเรื่องการสร้างรั้วออกจากที่ประชุม JBC โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจประเด็นดังกล่าว

โดยประเด็นเรื่องรั้วและแนวเขตจะถูกนำมาหารือต่อในที่ประชุม GBC เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน โดยยืนยันว่าขณะนี้ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล การเจรจาคืบหน้าไปกว่า 90% เหลือเพียงบางประเด็นที่ต้องพูดคุยเพิ่มเติมกับประธาน GBC ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไทยยังคงยึดมั่นใน 4 เงื่อนไขหลักที่เคยกำหนดไว้ คือ การเคารพอธิปไตย การใช้กลไกคณะกรรมาธิการร่วมแก้ปัญหา การไม่ใช้กำลังทางทหาร และการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อความสงบถาวรของประชาชนทั้งสองฝั่ง

วันเดียวกัน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการเตรียมลงนาม “ประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา” ซึ่งจะมีขึ้นระหว่าง การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 25–28 ต.ค.นี้ โดยระบุว่า ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี หลังจากการหารือ GBC เมื่อวานนี้ (22 ต.ค.) โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องในหลักการดำเนินงานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการดำเนินการกับกลุ่มสแกมเมอร์ที่ใช้พื้นที่ชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการ

ทั้งนี้ การหารือดังกล่าวยัง รวมถึงการพูดคุยเรื่องการนำชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยออกจากพื้นที่ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อระบุจุดรุกล้ำและแก้ไขตามขั้นตอน โดยเมื่อ การประชุม GBC สิ้นสุดลง พล.อ. ณัฐพล จะลงนามบันทึกสรุปผลการประชุมร่วมกับ รมต.กลาโหมกัมพูชา เพื่อเป็นพื้นฐานให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศลงนามใน “ประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา” ต่อหน้า ผู้นำชาติสมาชิกอาเซียน รวมถึง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งจะร่วมเป็นสักขีพยาน

หลังการลงนาม ประกาศความสัมพันธ์ฯ จะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการแนบท้ายอย่างชัดเจน ครอบคลุมการถอนอาวุธหนัก การกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดน โดยจะมอบให้ JBC และ GBC ร่วมกำหนดกรอบเวลาและรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นระหว่าง 2 ประเทศอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ปัญหาพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องการรุกล้ำแนวเขต จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ JBC นำมาหารืออย่างละเอียด เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขที่เป็นธรรมและได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย โดย ฝ่ายไทย เชื่อว่า…ความร่วมมือเชิงรุกในครั้งนี้จะช่วยคลี่คลายความตึงเครียด และเปิดทางสู่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย–กัมพูชาในมิติใหม่ที่ตั้งอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจและสันติภาพร่วมกันในภูมิภาค

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตจาก นักวิเคราะห์การเมือง ทั้งในและต่างประเทศ มองการหารือในครั้งนี้เป็นเพียงการ จัดฉาก ของ ชาติมหาอำนาจ ที่ต้องการบีบให้ รัฐบาลไทย เร่งปิดเกมปัญหาชายแดน ด้วยการเปิดด่านและทำการค้าระหว่างกันต่อไป โดยเร็วที่สุด ซึ่งตรงกับความต้องการของ กลุ่มนายทุนนักธุรกิจ ทั้งในระดับข้ามแดนและการค้าข้ามชาติ โดยที่ ฝ่ายการเมืองของไทย เอง ก็พร้อมจะตอบสนองความต้องการของกลุ่มทุนอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ยังมี ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านการเปิดด่านและทำการค้ากับกัมพูชา เนื่องจากเชื่อว่า…จะทำให้ฝ่ายกัมพูชา กลับมาเข้มแข็งและมีแรงที่จะก่อปัญหาบริเวณชายกับรัฐบาลไทยได้ในอนาคต ทั้งที่ความเป็นจริง รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะต้อง ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ นายฮุน เซน ประธาน สว. และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ในข้อหา “ฆาตรกรและอาชญากรสงคราม”  เพราะเป็น ผู้อยู่เบื้องหลังออกคำสั่งให้มีการยิงอาวุธปืน BM-21 ใส่พื้นที่พลเรือน จนมีชาวบ้านคนไทยและทหารไทย เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เสียก่อน จึงจะเปิดด่านและทำการค้าต่อไป.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password