พาณิชย์ตั้ง ‘คณะทำงาน’ ปูพรมทั่วไทย เร่งสกัดกั้นสินค้าออนไลน์ไร้คุณภาพ ป้อง ‘ผปก.- ผู้บริโภค’   

“พิชัย นริพพันธุ์” นำคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายถกเข้ม! ก่อนเห็นชอบตั้ง “คณะทำงาน” ปูพรมลงพื้นที่ทั่วประเทศ สกัดสินค้าออนไลน์ไร้คุณภาพและธุรกิจผิดกฎหมาย ปลื้ม! ร่วม 17 หน่วยงาน ลุยปราบสินค้าต่างชาติผิดกฎหมาย เก็บ VAT 1,500 ล้านบาท กดนำเข้าสินค้าออนไลน์ลง 3,645 ล้านบาท/เดือน มุ่งกวาดล้างธุรกิจนอมินี 15,121 ล้านบาท

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 3 (1/2568) ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 17 หน่วยงานร่วมด้วย ที่ประชุมฯได้ติดตามความคืบหน้ามาตรการที่ดำเนินมาตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2567 พร้อมเน้นย้ำให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 17 หน่วยงานเร่งรัดแผนระยะกลาง โดยคณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตั้ง คณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ และ 2. คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว โดยมี นายนภินทร เป็นประธาน ได้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดย 1.จัดเก็บภาษี VAT ได้ 1,500 ล้านบาท จากสินค้านำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท 2.ดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมาย 24,626 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1,257.24 ล้านบาท 3.ลดการนำเข้าสินค้าผ่าน e-Commerce ลง 8% เฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท และ 4.กวาดล้างธุรกิจนอมินี 851 ราย มูลค่าความเสียหาย 15,121 ล้านบาท

ที่ประชุมฯยังได้มีมติเห็นชอบให้ตั้ง คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศผิดกฎหมาย นำโดย ร.ต.จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีม ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การจดทะเบียนธุรกิจ และธุรกิจนอมินีทั่วประเทศ เพื่อทำให้ความเข้มข้นของการปราบปรามดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ สำนักงานการแข่งขันทางการค้า (กขค.) จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบังคับใช้กฎหมายป้องกันสินค้าต่างชาติทะลักที่จะกระทบผู้ประกอบการไทย ด้วย พร้อมทั้งได้เห็นชอบ การขอรับการจัดสรรงบกลางตามคำขอของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการด่านอาหารและยา ณ ท่าเรือแหลมฉบังและด่านเชียงของ และเห็นชอบการขอรับ การจัดสรรงบกลางตามคำของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพการตรวจสอบและเฝ้าระวังการขายสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ อีกด้วย

รัฐบาลมุ่งมั่นปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย และธุรกิจนอมินี เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและผู้บริโภคไทย และขอประชาสัมพันธ์ถ้าใครเห็นว่ามีบริษัทไหนที่ต้องการร้องเรียนปัญหาเรื่องนอมินีให้ติดต่อมาที่เบอร์สายด่วนกระทรวงพาณิชย์ 1570 หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เราจะเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว ซึ่งล่าสุด ได้รับข้อร้องเรียนในการปลูกทุเรียนที่จังหวัดจันทบุรีโดยชาวต่างชาติ เราจะเร่งเข้าไปตรวจสอบและจะขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น นายพิชัย กล่าว

ด้าน นายนภินทร กล่าวว่า สำหรับที่ คณะกรรมการฯ มีมติ แต่งตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีหน้าที่ดำเนินการใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การควบคุมสินค้านำเข้า และการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว โดยจะดำเนินการควบคุมสินค้านำเข้า เพิ่มการตรวจสอบสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยจากเดิม 20% เป็น 30% ตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น อย. และ มอก. และสินค้าคุณภาพต่ำบางส่วนไม่ได้ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่กระจายอยู่ในตลาดทั่วไปต้องเพิ่มการตรวจสอบออฟไลน์ให้ครอบคลุม

และสำหรับ การตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว จะเน้นตรวจสอบเอกสารการถือหุ้นและรูปแบบการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ ที่บางกรณีพบว่า ธุรกิจของชาวต่างชาติอาจจดทะเบียนในชื่อคนไทยทั้งหมด ทำให้ตรวจสอบได้ยาก และ บางธุรกิจจดทะเบียนในจังหวัดหนึ่ง แต่ดำเนินการจริงในอีกจังหวัด ซึ่งต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมไปถึง ธุรกิจบางประเภทเข้าข่ายเป็นธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ทำให้คณะทำงานชุดนี้จะต้องลงพื้นที่ตรวจสอบทั้ง สินค้านำเข้าและธุรกิจนอมินี ควบคู่กันโดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เพื่อให้การตรวจสอบครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับผู้ที่ต้องการร้องเรียนเรื่องนอมินีนิติบุคคล สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th หัวข้อ “รับเรื่องร้องเรียนปัญหานอมินี” หรือหากสงสัยว่าที่อยู่ของตนถูกมิจฉาชีพนำไปจดจัดตั้งเป็นนิติบุคคลโดยไม่ได้ยินยอมหรือไม่ สามารถตรวจสอบด้วยตนเองผ่าน “ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล” บนเว็บไซต์ดังกล่าว และแจ้งเบาะแสกรณีถูกนำที่อยู่ไปใช้จดทะเบียนเป็นที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมทางอีเมล checkaddr@dbd.go.th หรือสายด่วน 1570.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password