ยุบสภาฯ สู่จุดชี้ขาด!

การยุบสภาฯ! ของ “นายกฯอนุทิน” ไม่ใช่แค่การ “ถอย” ทางเทคนิค? แต่เป็น “จุดแตกหัก! ที่เริ่มจาก…สภาวะที่สภาฯลุกเป็นไฟ? จนต้อง “รีเซ็ต!” อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ด้วยความจะคลี่คลายปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญทุกทิศทาง แต่ที่สุด! คนไทยต้องตัดสินกับอำนาจที่ไหลกลับคืนมา นั่นคือ…จะเลือกพลังใหม่ หรือจมปลัก! อยู่กับสิ่งเดิมๆ
การประกาศยุบสภานของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เมื่อค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นแบบ “ไร้ปี่ไร้ขลุ่ย!”
หากเริ่มก่อตัวจากบรรยากาศ…การอภิปรายในสภาฯ ที่ตึงเครียดยิ่งกว่า…สามัญสำนึกทางการเมืองจะรับไหว???
โดยเฉพาะจังหวะที่ “หัวหน้าเท้ง” นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า…หากการแก้รัฐธรรมนูญไม่เดินหน้าในมาตรา 256/28 พรรคประชาชนก็พร้อมยื่นไม่ไว้วางใจทันที!!!
ความหมายของ “หัวหน้าเท้ง” ว่าด้วย…มาตรา 256/28 นั่นคือ การ “ฟื้นอำนาจ” ของ สว. ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่? โดยจะต้องมีเสียงสนับสนุนจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือราว 67 คน จากทั้งหมด 200 เสียง
คำนั้น…เป็นเหมือน “เสียงระฆังการเมือง” บีบให้ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ได้รับรู้ทันทีว่า…เกมการเมืองนี้ กำลังใกล้ถึง “จุดปิดฉาก” กันแล้ว
ท่ามกลาง…เสียงโต้เถียงที่ยืดเยื้อ แรงกดดันจากหลายพรรค มันจึงแทบไม่เหลือพื้นที่ให้ฐบาล “ยื้อเกม” ทั้งในเชิงอำนาจ และภาพลักษณ์อีกต่อไป
ความตึงเครียดในสภาฯ ถูกนำมาเชื่อมโยงกับเหตุผล นายกฯอนุทิน อธิบายไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ซึ่งครั้งนี้มีรายละเอียดมากกว่าปกติอย่างผิดสังเกต!!??
เนื้อหาใน พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ บรรยายชัดว่า…รัฐบาลเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ไม่สามารถบริหารราชการได้เต็มประสิทธิภาพ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ, สังคม และความมั่นคง กำลังเผชิญแรงกระแทกพร้อมกัน ตั้งแต่ปัญหาปากท้อง, การแข่งขันทางการค้า, อาชญากรรมออนไลน์ ไปจนถึงความผันผวนชายแดนไทย–กัมพูชา
จังหวะที่การเมืองติดหล่ม! เช่นนี้ ทำให้การบริหารเชิงนโยบายชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด และ พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ สะท้อนออกมาตรงไปตรงมา ว่า…
การยุบสภาเป็น “ทางออกที่เหมาะสมที่สุด!” เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ โดยไม่ถูกความไม่มั่นคงทางอำนาจฉุดรั้งต่อไป
เมื่อสภาฯถูกยุบ! ประเทศจึงเข้าสู่ช่วงของ “รัฐบาลรักษาการ” ที่มีหน้าที่ดูแลเพียงภารกิจจำเป็น
ขณะที่ โครงการใหญ่…ต้องหยุดรอ “รัฐบาลใหม่”
หน่วยงานรัฐจำนวนมาก จะเลือกใช้ “โหมด…ระวังตัว!” ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญ นั่นเพราะ…“สมการทางอำนาจ” ในทางการเมือง ยังไม่ชัดเจน จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่า…ใครจะเป็นรัฐบาลใหม่
ขณะที่ ภาคธุรกิจและนักลงทุน ก็จับตาว่า…การเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นภายใน 45–60 วันตาม พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ ซึ่งก็น่าจะอยู่ในห้วง 8 กุมพาภันธ์ 2569 ล้อไปกับการทำ “ประชามติ” ข้อแรก…ประชาชน “เห็นด้วยหรือไม่ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ?”
สิ่งนี้…จะนำไปสู่การเมืองการปกครอง “รูปใหม่” หรือจะวนหลูบ…กลับไปสู่ “รูปแบบอำนาจ” เดิมๆ ที่คนคุ้นเคยชินกันในรอบหลายปีที่ผ่านมา
สนามเลือกตั้งครั้งใหม่ในอีกไม่เกิน 60 วันหลังจากนี้ จึงไม่ใช่แค่…การแข่งขันของพรรคการเมือง แต่เป็นการตัดสินใจว่า…ประเทศไทยต้องการไปต่อในทิศทางใด?
พรรคประชาชน อาจได้ “แรงส่ง” จากการ “ยืนชน” ประเด็น “ตัดอำนาจ ส.ว.” ซึ่งกลายเป็น…สัญลักษณ์ของการท้าทายโครงสร้างเดิม
ส่วน พรรคภูมิใจไทย คงต้องเร่งฟื้นศรัทธา…ผ่านภาพลักษณ์ความเป็นพรรคที่ไม่สุดโต่ง มีเสถียรภาพ และพร้อมจับมือได้ทุกฝ่าย รวมถึงความเป็นกลางในทางการเมือง
ขณะที่ พรรคสายกลางและพรรคเอียงขวา…จะเล่นประเด็นเศรษฐกิจ, ความมั่นคง และปัญหาด้านชายแดน เพื่อดึงความเชื่อมั่นประชาชน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรงและความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มสั่นคลอน
หลังการเลือกตั้ง ประเทศไทย….อาจเดินไป 1 ใน 3 เส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น…
1.การเปลี่ยนผ่านสู่การปฏิรูป
2.การกลับสู่เสถียรภาพแบบประนีประนอม
หรือ 3.การจัดตั้ง “รัฐบาลผสมกึ่งขั้วใหม่” ที่จะต้องประคับประคอง “อำนาจรัฐ” อย่างละเอียดอ่อน ในท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน
แต่ไม่ว่า…ผลจะออกมาอย่างไร? การยุบสภาฯในครั้งนี้ ได้ขยับประเทศเข้าไปสู่ “จุด” ที่ประชาชน…จะต้องเป็น “ผู้ชี้ขาด!” จริง ๆ ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน? ระหว่าง…
ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กับการเดินหน้าในแบบที่คุ้นเคยมานาน!!!.






