เดินต่อ ‘คนละครึ่ง’ เติมเต็มโอกาส ‘คนหลุด’ ลงทะเบียนรอบนี้ ปูทางไปสู่การเมืองสมัยหน้า???

กระแสตอบรับโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จัดว่า…ร้อนแรง! ตั้งแต่ วันแรกที่เปิดลงทะเบียน (20 ต.ค.2568) จนระบบ แอปฯ “เป๋าตัง” และ เว็บไซต์ทางการ ถึงกับหน่วงในบางช่วงเวลา…

เมื่อประชาชนทั่วประเทศ…ต่างแห่ลงทะเบียนรับสิทธิเกินกว่า 20 ล้านสิทธิ์ จนเต็มภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง นี่จึงไม่ใช่เพียง…นโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อ “อัดฉีดกำลังซื้อ” แต่กำลังกลายเป็น “หมากการเมือง” ชิ้นสำคัญ ที่อาจส่งผลต่อ…อายุรัฐบาลในสมัยหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

แม้รัฐบาลจะประกาศชัดว่า…จำนวนสิทธิ์ในเฟส 1 อยู่ที่ 20 ล้านสิทธิ์ ตามกรอบงบประมาณ 22,000 ล้านบาท แต่ความต้องการที่ล้นทะลักจนทะลุ 25 ล้านรายในไม่กี่วันแรก ได้สร้างแรงกดดันทั้งในเชิงสังคมและการเมือง!!!

ทำให้ ทีมยุทธศาสตร์ ของรัฐบาล และ ฝ่ายบริหาร ต้องหาทาง “เติมเต็ม” โอกาสของผู้ที่พลาดสิทธิ์ โดยเฉพาะ ในพื้นที่ชนบท แรงงานนอกระบบ และกลุ่มเปราะบาง ที่ไม่สามารถเข้าถึง ระบบออนไลน์ ได้ทันเวลา

รวมถึง กลุ่มคนจำนวนมาก…ที่ออกันแน่นอยู่บริเวณด้านหน้าสาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ

ในเชิงโครงสร้าง โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าโครงการ “คนละครึ่ง” เดิม โดยแบ่ง ผู้มีสิทธิ์เป็น 2 กลุ่ม คือ (1) ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้รับสิทธิ์ในสัดส่วนรัฐช่วย 60% ประชาชนจ่าย 40% และ (2) ประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกระบบภาษี ได้รับสัดส่วนรัฐช่วย 50% และประชาชนจ่าย 50%

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ระบุว่า รูปแบบนี้จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ในขณะที่ยังคงช่วยลดภาระค่าครองชีพได้อย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ตัวเลข “20 ล้านสิทธิ์” ที่เต็มแล้วในขณะนี้ กลับมีเสียงสะท้อนจากทั่วประเทศ ว่า…มีประชาชนอีกนับล้านคนที่ไม่ทันลงทะเบียน ทั้งเพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับขั้นตอนลงทะเบียน หรือแม้แต่การที่บางกลุ่มยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างทั่วถึง

ปัญหาเหล่านี้ กำลังกลายเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องตอบให้ได้ หากไม่ต้องการให้ “กระแสเชิงบวก” แปรเปลี่ยนและกลายเป็น “แรงตีกลับ” ในทางการเมือง

ในแง่นี้ ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลในกระทรวงการคลังและฝ่ายยุทธศาสตร์พรรคภูมิใจไทย ระบุว่า รัฐบาลกำลัง “พิจารณาอย่างจริงจัง” ถึงความเป็นไปได้ในการขยายจำนวนสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 2–5 ล้านสิทธิ์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องประเมินความต้องการจริงของกลุ่มที่ตกหล่นจากรอบแรกให้ชัดเจนก่อน รวมถึงตรวจสอบงบประมาณคงเหลือและความพร้อมของระบบ เพื่อให้การขยายสิทธิ์เป็นไปอย่างรอบคอบ ไม่กระทบต่อกรอบวินัยการคลัง

นายเอกนิติ  กล่าวว่า “เราจะพิจารณาเพิ่มสิทธิ์ ถ้าเห็นว่ามีความจำเป็น และประชาชนยังเดือดร้อนจริง พร้อมทั้งมีงบประมาณรองรับ”

สอดคล้องกับท่าทีของ “โฆษกรัฐบาล” นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ที่ยืนยันว่า โครงการนี้ “ยังไม่ปิดตาย” และรัฐบาลพร้อมพิจารณาเปิดเฟส 2 ในเดือนมกราคม 2569 สำหรับผู้ที่พลาดสิทธิ์ในรอบแรก โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่และกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ในอีกมิติหนึ่ง การเดินหน้าขยายสิทธิ์เพิ่มเติมยังถูกมองว่า…เป็น “จังหวะทอง” ทางการเมืองของ “รัฐบาลอนุทิน” เนื่องจากการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ กลุ่มรายได้น้อยและชนชั้นกลาง

ย่อมสร้าง ภาพลักษณ์ ของ “รัฐบาลฟังเสียงประชาชน” ซึ่งเป็น “จุดแข็งสำคัญ” ที่จะ “ต่อยอด” สู่การสร้างฐานสนับสนุนในอนาคต

โดยเฉพาะ หากการบริหารโครงการสามารถแสดงผลเชิงเศรษฐกิจได้จริง ทั้งในระดับจังหวัด ชุมชน และตลาดรายย่อย

ในหลายจังหวัด พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยเริ่มเตรียมระบบ QR พร้อมรับ “เป๋าตัง” กันอีกครั้ง หลังจากช่วงเปิดโครงการคนละครึ่ง เฟสก่อนๆ เคยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระดับท้องถิ่นหลายหมื่นล้านบาท

ขณะที่ นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า…โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จะช่วยพยุงกำลังซื้อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ให้เศรษฐกิจไทยโตได้ใกล้ 3.5% ตามเป้าของกระทรวงการคลัง แม้ภาวะการส่งออกยังชะลอตัวก็ตาม

สำหรับ นายกฯอนุทิน แล้ว เขาเลือกใช้โครงการนี้เป็น “หมุดหมายเชิงสัญลักษณ์” ของรัฐบาลในปีแรกของการบริหาร โดยให้เหตุผลว่า…

“นี่คือโครงการที่ประชาชนรู้จัก เชื่อมั่น และเข้าถึงได้ง่าย มันไม่ใช่แค่มาตรการเศรษฐกิจ แต่คือการคืนศักดิ์ศรีให้คนตัวเล็กๆ ที่อยากใช้สิทธิ์เท่ากับคนอื่นในประเทศเดียวกัน”

คำกล่าวข้างต้นนี้…สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการเมืองแบบ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ที่ “รัฐบาลอนุทิน” พยายาม วางรากฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น…

นโยบายสาธารณสุข ราคาพลังงาน หรือเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อมองในภาพรวม…หากรัฐบาลสามารถขยายสิทธิ์เพิ่มอีก 2–5 ล้านสิทธิ์ ตามที่มีแนวโน้มจริง พร้อมบริหารให้เงินถึงมือประชาชน โดยไม่เกิดปัญหาทุจริตหรือระบบล่ม!!!

ผลลัพธ์อาจไม่ได้มีแค่…การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คือ “เครดิตทางการเมือง” ที่จะเปิดโอกาสให้ “รัฐบาลภูมิใจไทย” ไปสู่การเลือกตั้งสมัยหน้า…ด้วยความได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์???

ในที่สุด! โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จึงอาจไม่ได้จบลงแค่โครงการชั่วคราว แต่คือ…บทพิสูจน์ความสามารถของรัฐบาลในการเชื่อมโยง “นโยบายเศรษฐกิจ” เข้ากับ “ยุทธศาสตร์การเมือง” อย่างแนบเนียน

นั่นเพราะ…ในประเทศที่การเมืองผูกพันกับปากท้องของพี่น้องประชาชน นั้น หากรัฐบาลใด? เข้าใจเสียงของผู้คนมากที่สุด! ก็มักเป็นรัฐบาลที่ได้รับโอกาสและอยู่ได้นานที่สุด!!! เช่นกัน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password