เมินเพื่อไทย กล่าวหา ‘รมต.ผลประโยชน์ทับซ้อน’

รมต.ประจำสำนักนายกฯ “สันติ ปิยะทัต” ปัดข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อนตามข้อกล่าวของพรรคเพื่อไทย ยืนยัน! ลาออกจากธุรกิจเอกชนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ด้าน “โฆษกรัฐบาล” เมินเสียงวิจารณ์ ชี้! เป็นสิทธิ์ทางการเมือง ย้ำ! ไม่ขวางการตรวจสอบ
นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกแถลงชี้แจงกรณีที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ สภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวหาว่า การแต่งตั้งตนเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หลังจากมีข้อมูลว่าตนเคยเป็นผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ถูก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดำเนินคดีหลายคดี โดย นายสันติ ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และตนได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามหลักจริยธรรมและกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายสันติ ชี้แจงว่า ตนได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารของบริษัทดังกล่าวตั้งแต่ปี 2565 และได้ขายหุ้นทั้งหมดที่ถือครองอยู่ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อป้องกันข้อครหาว่ามีส่วนได้เสียกับธุรกิจภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังย้ำว่าไม่มีการทำธุรกิจให้กู้ยืมหรือสินเชื่อลีสซิ่งตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมระบุว่า หน่วยงานภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีอย่าง สคบ. มีโครงสร้างการบริหารและกลไกตรวจสอบหลายชั้น รัฐมนตรีไม่สามารถแทรกแซงการดำเนินคดีหรือกระบวนการตรวจสอบใด ๆ ได้
ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีทุกตำแหน่งได้ผ่านการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติอย่างละเอียดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว พร้อมระบุว่า หากนายจิรายุหรือผู้ใดเห็นว่ามีข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถดำเนินการร้องเรียนต่อองค์กรอิสระได้ตามสิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้การกล่าวหาในทางการเมืองให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลปฏิเสธที่จะตอบโต้เชิงลึก โดยกล่าวเพียงว่า “ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะตั้งข้อสังเกต และเป็นธรรมดาที่จะมีผู้ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งในบางกรณี”
แม้ พรรคเพื่อไทยจะยังยืนยันเดินหน้ารวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นร้องต่อองค์กรอิสระ ตามที่ นายจิรายุ ได้กล่าวเอาไว้ แต่จากท่าทีของรัฐบาลและรัฐมนตรีผู้ถูกพาดพิงยังคงยืนยันในความโปร่งใสและความถูกต้องของกระบวนการแต่งตั้ง โดยมองว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นทางการเมืองมากกว่าความผิดตามข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีองค์กรอิสระหรือหน่วยงานตรวจสอบใดออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการต่อเรื่องนี้.