ยุทธสาดสี!!??

ยุทธการสาดสีในทางการเมือง กำลังจะเริ่มต้นไปพร้อมกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและการเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการของ “รัฐบาลอนุทิน” สิ่งนี้…ไม่เพียงสะท้อนทักษะการใช้วาทกรรมของนักการเมือง หากยังสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการเมือง ที่ยึดติดการโจมตีและสร้างภาพ มากกว่าการจับมือแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง ที่สุด! ปลายทางของ “ยุทธสาดสี” นั้น จะนำประเทศไปสู่อนาคตในทิศทางใดกันแน่???
ปี่กลองการเมือง…กำลังจะเริ่มส่งสัญญาณการต่อสู้ครั้งใหม่อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากการจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เสร็จสิ้น
24 ก.ย.2568 คือ นัดหมายเข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จากนั้นไม่เกิน 15 วัน รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็จะได้ฤกษ์แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
นั่นแหละ…การเมืองไทยจะได้รับกลับมาร้อนฉ่ากันอีกครั้ง!!!
ยุทธการสาดสีในทางการเมือง ก็จะกลับมาเข้มข้น และคนไทยจะได้ฟังวิวาทะของนักการเมืองไทย กันแบบฉ่ำๆ อย่างมิต้องสงสัย???
ในท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลจะต้อง แถลงนโยบายต่อสมาชิกของทั้ง 2 สภา สิ่งนี้…อาจไม่เป็นเพียง…พิธีกรรมทางการเมือง หากยังเป็นการ “เปิดฉาก” ยุทธศาสตร์เชิงการสื่อสาร ที่ทั้ง 2 ฝ่าย…รัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างเตรียม “อาวุธทางวาทกรรม” ไว้พร้อมสรรพ
เกมการเมืองในช่วงนี้ จึงมิใช่เพียง…การแข่งขันด้านนโยบาย หากแต่ยังเป็นการ “ช่วงชิง” พื้นที่สื่อและความรับรู้ของประชาชนผ่านการ “สาดสี” ใส่กันด้วยถ้อยคำทางการเมือง???
“รัฐบาลอนุทิน” ที่มีภารกิจเร่งด่วนต่อการสร้าง “ภาพลักษณ์ใหม่” หลังจากถูกมองว่าเป็นเพียงพรรคขนาดกลางที่เคยอยู่ในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ซึ่งต่างจากครั้งนี้ ที่พวกเขาได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” ในการบริหารประเทศแบบเต็มตัว
ไม่แปลก! หากจะ ถูกจับตามองเป็นพิเศษถึงนโยบายที่จะได้ประกาศต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น…นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การเกษตร การสาธารณสุข หรือการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม แม้กระทั่ง นโยบายทางด้านสังคมและการเมือง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับ…การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ คดีความต่างๆ ในทางการเมือง
เหล่านี้…ล้วนถูกตั้งคำถามจากฝ่ายค้านตามมาทันที ว่า…ศักยภาพและความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียงนั้น จะเพียงเพียงพอและมีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ภายใต้กรอบเวลาเพียง 4 เดือนได้หรือไม่??? อย่างไร???
ในขณะที่ ฝ่ายค้านเอง ก็คงรอคอยโอกาสนี้ ในการชี้ให้เห็นถึง “จุดอ่อน” ของรัฐบาล โดยเฉพาะ ประเด็นการจัดการเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาพซบเซา ค่าครองชีพสูง รายได้ของประชาชนไม่เพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำที่ยังคงฝังลึก
ทางกลับกัน ฝ่ายค้าน ที่นำโดย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ก็มีโอกาสจะถูกโจมตีกลับได้เช่นกัน!!!
ในทางการเมืองแล้ว โอกาสที่ สส.ในฝั่งหนุน “รัฐบาลอนุทิน” และอาจร่วมถึง…เสียงส่วนใหญ่ของฝั่ง สว. จะได้แสดงออกถึงท่าทีชัดเจนต่อการจะหยิบยก “อดีตการบริหารประเทศ” ของรัฐบาลเพื่อไทย มาเป็นข้อเปรียบเทียบ
โดยเฉพาะเรื่อง…นโยบายประชานิยมที่สร้างภาระทางการคลัง และกรณีปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังตกค้างมาจนถึงทุกวันนี้…
นอกจากนี้ พรรคประชาชน ในฐานะ พรรคใหม่ที่กำลังเติบโต ก็ไม่พ้นจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ถึง ความไร้ประสบการณ์ในการบริหารประเทศ
ในลักษณะ…พวกเขายังไม่พร้อมที่จะนำประเทศ???
และอาจถูกกล่าวหาว่า…เป็นพรรคการเมืองที่เน้นวาทกรรมสร้างกระแส มากกว่าจะมีแผนงานที่เป็นรูปธรรม
“เกมสาดสี” ใส่กันในทางการเมืองครั้งนี้ จึงมิใช่เพียงการต่อสู้ในสภา แต่เป็นการส่งสารตรงไปยังสังคมวงกว้าง
แน่นอนว่า…ฝ่ายค้านเอง จะต้องพยายามตอกย้ำในประเด็นที่ว่า…รัฐบาลไม่อาจแก้ปัญหาปากท้องได้จริง เป็นเพียงการสืบทอดอำนาจในรูปแบบใหม่
ขณะที่ ฝ่ายรัฐบาล คงต้องสวนกลับทันควัน!!! ด้วยความพยายามที่จะชี้ให้ประชาชนเห็นว่า…ฝ่ายค้านขาดความน่าเชื่อถือ มีแต่คำพูดที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง
การสาดสีจึงกลายเป็น “เครื่องมือ” เชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างภาพลักษณ์คู่ขัดแย้ง
ประชาชน ในฐานะ “ผู้รับสาร” จะเป็นคนตัดสินใจเองว่า…ใครจะได้รับความเชื่อถือมากกว่ากัน!!??
สิ่งที่น่าจับตามองนับจากนี้ ก็คือ หากการ “สาดสี” ในเวทีแถลงนโยบาย…ลุกลามบานปลายไปสู่การกล่าวหาอย่างต่อเนื่อง เรื่องก็อาจพัฒนาไปถึงขั้นการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในเวลาไม่นาน
เพราะ ฝ่ายค้าน อาจมองว่า…“รัฐบาลอนุทิน” ไม่สามารถตอบคำถามหรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด แม้กระทั่ง ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา รวมถึง สร้างเหตุที่จะทำให้ทิศทางการเมืองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะ2 คดีความการเมือง อย่าง…คดีเขาชะโงกและคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.
ฝ่ายค้าน…อาจใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นเวทีใหญ่ในการเปิดแผลซ้ำอีกครั้ง ขณะที่รัฐบาลเองก็จะตอบโต้เต็มที่เพื่อรักษาความมั่นคงของเสียงสนับสนุนในสภาฯเช่นกัน
“ยุทธศาสตร์” ในการสาดสีระหว่างนักการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หากแต่เป็น…การเมืองเชิงภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนและประชาชนทั่วไป
ยิ่งในยุคที่ “สื่อสังคมออนไลน์” มีบทบาทสูงและเข้าถึงวิถีชีวิตของผู้คนตลอด 24 ชม.ด้วยแล้ว การกล่าวหาหรือสร้างวาทกรรมรุนแรง สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมีผลต่อทัศนคติของผู้คนทันที!!!
ความระมัดระวัง!!! จึงเป็นเรื่องสำคัญ
กระนั้น ในความเป็นจริง! การเมืองไทยก็ยังคงต้อง “จมปรัก” อยู่กับการใช้วาทกรรมอันร้อนแรงและเร้าอารมณ์โดยมิอาจหลีกเลี่ยง
นั่นเพราะสิ่งนี้ ถือเป็น…เครื่องมือที่จับต้องได้ง่ายและเข้าถึงผู้คนได้รวดเร็วกว่าเหตุผลเชิงเทคนิค
ในที่สุดแล้ว “ยุทธศาสตร์” การสาดสี ระหว่าง…“รัฐบาลอนุทิน” กับฝ่ายค้าน จึงเป็นเสมือนเวทีประลองยุทธ์ทางการเมือง ที่ทุกฝ่ายต่างคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ที่จะได้รับ???
หากสามารถ “สร้างภาพ” ให้อีกฝ่าย…ดูอ่อนแอและไม่น่าเชื่อถือได้ ก็จะทำให้คะแนนนิยมของตนเพิ่มขึ้น
แต่หาก ประชาชน มองว่า…สิ่งที่นักการเมืองเหล่านี้ กระทำลงไป เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้ง โดยไม่สร้างสรรค์
สิ่งนี้…ก็อาจย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 ฝ่ายได้เช่นกัน!!??
ดังนั้น ภาพของการเมืองไทยในช่วงหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงเป็นเสมือน “สมรภูมิ” แห่งยุทธศาสตร์การสาดสี ที่ไม่เพียงสะท้อนทักษะการใช้วาทกรรมของนักการเมือง
หากยัง สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการเมือง ที่ยังคงยึดติดกับ…การโจมตีและสร้างภาพ มากกว่าการจับมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง
ประชาชนจึงต้องตั้งคำถามกับทุกฝ่าย??? และควร เฝ้ามองอย่างไม่กระพริบตา ว่า…ที่สุดแล้ว “ยุทธศาสตร์” การสาดสี ที่ “ทีมข่าวยุทธศาสตร์” ขอบัญญัติศัพท์ใหม่ว่าเป็น “ยุทธสาดสี” เช่นนี้…
จะนำประเทศไปสู่ทิศทางใดในอนาคต!!??.