เหนือชั้น!!??

นโยบายต่างประเทศของไทยในยุคนี้ จัดว่า “เหนือชั้น” กว่ายุคที่ “ผู้นำฯ” ถูกมองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ซุกซ่อน มีบาดแผลในประเทศเพื่อนบ้าน การเลือกคนมาเป็น “รมต.ต่างประเทศ” จึงทำได้ถูกคนและตรงกับเนื้องานมากกว่า ทุกความร่วมมือเป็นเนื้อเดียวกัน จึงต่อสู้กับ “อริราชศัตรู” จนกว่าพวกมันจะหมดพิษสง…ความเป็นอันตรายต่อไทย
ใครจะคิด? พรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในมือแค่ 60 กว่าคน อย่าง พรรคภูมิใจไทย…จะได้เป็นแกนนำจัดตั้ง…รัฐบาลเสียงข้างน้อย แถมยังมี อายุสั้นแค่ 4 เดือน
แต่สิ่งนี้…ก็เกิดขึ้น! เพราะความผิดพลาดของ พรรคเพื่อไทย!!!
หากไม่มีเรื่อง…คลิปเสียงหลุด! การสนทนาระหว่าง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร กับ “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์” นายฮุน เซน ที่ฝ่ายหลัง…นำออกมาประจานให้โลกและคนไทยได้รับรู้กันแล้ว…
ข้อสงสัย? ก็ยังจะเป็นข้อสงสัยเช่นเดิม แต่หลังจากมีปม…คลิปเสียงหลุด ทุกอย่างก็กระจ่างชัด!
ชัด! ในความคิดของคนไทยแต่ละคน ขึ้นกับว่า…ใครจะมอง คิด และเชื่ออย่างไร?
แต่หลายฝ่ายเชื่อมั่นว่า…ทุกอย่างจากนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะกับ พรรคเพื่อไทย
ยามนี้ ต้องถือว่า…นโยบายด้านการต่างประเทศของไทยล้ำหน้าไปไกลมาก อย่างน้อย…ก็มากกว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านในรอบนับสิบปี…
สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ที่ไม่เคยปรากฏชัดมาก่อน??? ความพิเศษที่ทำให้นโยบายด้านการต่างประเทศในยุคนี้…แตกต่างจากยุคก่อนหน้า
นั่นเพราะ…บทบาทของ “ผู้นำรัฐบาล” ที่ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ โดยมิได้มีบาดแผลทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ…กัมพูชา
ความ “ไร้พันธนาการ” ทางผลประโยชน์ส่วนตัว นี้ ทำให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี สามารถเลือกบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ “รมว.ต่างประเทศ” ได้ตรงกับงานและสอดคล้องกับความท้าทายที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่…
แตกต่างจากยุคก่อน ๆ ที่การเมืองและความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของ “ผู้นำ” กับประเทศเพื่อนบ้าน? มักกลายเป็นเงื่อนไขจำกัด! ต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยเฉพาะ ในประเด็นชายแดนที่ซับซ้อนและอ่อนไหว
นายกฯอนุทิน เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ได้ประกาศ ว่า…เขาจะ “ทำได้ ทำเป็น ทำดี” อะไรที่ทำได้…จะทำทันที อะไรที่ดี แม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาล และ/หรือ พรรคการเมืองอื่น รัฐบาลชุดนี้…ก็พร้อมจะมาทำต่อและขยายผล
รวมถึง…รัฐบาลชุดนี้ พร้อมจะร่วมงานกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ที่สำคัญ นายกฯอนุทิน ยังมีบทบาท “เชิงกำกับ” ในทางการทหาร หากเกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนเมื่อใด?
รัฐบาลได้ให้ “ไฟเขียวทหารโต้เขมร” ทันที!!!
จุดยืน เช่นนี้ สะท้อนว่า…“ผู้นำสูงสุด” ของไทยในยุคนี้ ไม่มีผลประโยชน์เฉพาะกับกัมพูชา จึงสามารถมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่ทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคง ดำเนินการได้…โดยไม่ถูกตั้งคำถามในเชิงอคติ!!!
เช่นกัน! ในส่วนของกองทัพ…หนึ่งในบรรดา “ผู้นำเหล่าทัพ” ที่มีบทบาทโดดเด่น…ในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจาก “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 สดๆ ร้อนๆ แล้ว ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ก็คือ “บิ๊กปู” พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
กับบทบาท…ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดูแล “แนวรบ” ตามแนวชายแดน ควบคู่ไปกับการประสานงานด้านการทูต
ทั้งนี้ มีรายงานระบุ ว่า…กองทัพบก อยู่ในสถานะ “พร้อมรบ!” หากกัมพูชาไม่ยุติการกระทำที่ละเมิด “บิ๊กปู” พร้อมบัญชาการรบ และยกระดับกำลัง…หากจำเป็น!!??
ความแข็งแกร่งทางการทหาร…ที่แสดงออกอย่างชัดเจนเช่นนี้ เมื่อเสริมกับ บทบาททางการทูต เชิงรุก!
ทำให้ประเทศไทย ที่เคยถูกมองว่า…อยู่ในจุดที่ต้องรับแรงกดดัน จนทำให้นโยบายที่มีออกมา เป็นไปในลักษณะ…“อ่อนแอ” หรือ “ดีแต่พูด” แต่ขาดความเข้มแข็งและไร้การปฏิบัติจริงจัง!!!
ทว่า…ไม่ใช่ไทยในวันนี้!!??
หันดู ฝั่ง “รมว.ต่างประเทศ – ป้ายแดง” อย่าง…นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว นับเป็นบุคคลที่ถูกเลือกอย่างสอดคล้องกับ…ภารกิจทางการทูต
และเป็นเขา…ที่ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในเวทีสหประชาชาติ UNGA80 โดยย้ำ “จุดยืน” ของไทยในระดับพหุภาคี พร้อมกับให้ความกระจ่างต่อข้อกล่าวหาจากกัมพูชา ที่บอกว่า…เป็นฝ่ายไทยที่ “ยั่วยุ” และรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา
หวังอาศัยเวทีระหว่างประเทศ…เพื่อยกระดับเรื่องชายแดน!
การตอบโต้ของฝ่ายไทย ไม่เพียงหักล้างทุกข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชา หากแต่ยังได้รับเสียงตอบรับจากประเทศต่าง ๆ สะท้อนว่า…คนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ รู้และความเข้าใจ รวมถึงยอมรับท่าทีของไทยมากขึ้นแล้ว
ในฝั่งฝ่ายค้าน “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาฯ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประกาศชัดว่า พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่เพื่อตรวจสอบรัฐบาลและถ่วงดุลอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นตรงกันว่า ผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนความขัดแย้งทางการเมือง
ความ “เหนือชั้น” ของนโยบายต่างประเทศไทย ในยุคนี้ ไม่ได้เกิดจาก…ฝีมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นผลของการหลอมรวมพลังทุกฝ่าย ภายในชาติ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รัฐบาลและฝ่ายค้าน…ล้วนมีจุดร่วมในเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือ การรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
แม้จะมีความเห็นแตกต่างในรายละเอียดของการบริหารจัดการ แต่ในกรณีข้อพิพาทชายแดน ทุกฝ่ายต่างยอมรับว่า…ประเทศไทยต้องแสดงเอกภาพ
และไม่ควร “เปิดช่อง” ให้ฝ่ายตรงข้าม กระทำการที่จะทำให้ไทยถูกมองว่า…อ่อนแอหรือแตกแยก!!!
การเมือง…ที่เคยเป็นเงื่อนไขแห่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ได้กลับกลายเป็นการสร้าง “เอกภาพ” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากภายนอก…
มิต่างจากกรณีที่ นายสีหศักดิ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงระหว่าง การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ วานนี้ (30 ก.ย.) ในประเด็นนโยบายต่างประเทศ เกี่ยวกับ…ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า…
เรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ!!!
ฉะนั้น…ความร่วมมือระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน มีความสำคัญ เพราะเราต่างก็ต้องการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของประเทศ
เมื่อมองไปข้างหน้า…รัฐบาลก็อยากจะได้รับความร่วมมือ และร่วมพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้าน เพราะสิ่งนี้….จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย
นั่นคือบางส่วนจากปากของ รมว.ต่างประเทศ คนนี้…
แน่นอนว่า…ในส่วนประชาชนไทย เอง ส่วนใหญ่ก็ตื่นตัวกับสถานการณ์ชายแดน เนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนที่เกาะติดข่าว และนำเสนอในลักษณะ…สร้างความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงการรายงานอย่างผิวเผินเหมือนยุคก่อนหน้านี้
ขณะที่ สื่อมวลชน เอง ถือว่า…มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือภายในประเทศ กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของเอกภาพ และเป็น “ด่านแรก” ในการ “ต่อต้าน” ข้อมูลที่บิดเบือนจากต่างชาติ
ความร่วมมือของ…สื่อมวลชน และประชาชน ช่วยเสริมพลังให้…รัฐบาล และกองทัพ ได้มีความชอบธรรม และได้รับแรงสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
เมื่อ ทุกภาคส่วนของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น…ฝ่ายการเมือง กองทัพ ข้าราชการ ประชาชน และสื่อมวลชน สามารถจะ ผนึกกำลังเป็น “เนื้อเดียวกัน” ได้เช่นนี้
ประเทศไทย ณ นาทีนี้…จึงไม่ใช่เพียง “ผู้เล่น” ที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
แต่ยังจะเป็น “ตัวอย่างที่ดี” ของการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ใช้ทั้งความแข็งแกร่งและความละเมียดละไมไปพร้อมกัน
ภาพลักษณ์ที่ปรากฏบนเวทีสหประชาชาติ ไม่เพียงเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ!!! แต่ยังเป็นการ ประกาศให้โลก ได้เห็นว่า…ประเทศไทยมีศักยภาพในการจัดการปัญหาที่ซับซ้อน โดยไม่มีปัญหาเรื่องความแตกแยกภายในประเทศ เหมือนก่อนหน้านี้…
ความสำเร็จเช่นนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์” ของไทยเหนือกัมพูชา และอาจถือได้ว่า…เป็นการสลาย “พิษสง” ของอริราชศัตรูในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ เลยทีเดียว!
เพราะเมื่อ…ประเทศไทยได้แสดงออกถึงความเป็น “เอกภาพ” และมีความสามารถในการ “ชี้แจงข้อเท็จจริง” บนเวทีโลก ขณะที่ กัมพูชา…ไม่อาจใช้เวทีเหล่านี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ดังนั้น นาทีนี้…ประเทศไทยจึงไม่เพียงปกป้องดินแดนและศักดิ์ศรีของตน หากแต่ยังแสดงให้โลกเห็นถึงความมั่นใจ ความเป็นระเบียบ และการใช้เหตุผลเชิงทูตที่น่าเชื่อถือ…
การที่ “ผู้นำไทย” ไม่มีพันธะ หรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับกัมพูชา จึงถือเป็นเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ต่อความสำเร็จดังกล่าว???
เพราะทำให้สามารถจะ เลือกบุคคล…มาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ได้ โดยเฉพาะ “รมว.ต่างประเทศ” บนพื้นฐานของคุณสมบัติและความเหมาะสมล้วน ๆ
ไม่ใช่!…การประนีประนอมทางการเมือง หรือผลประโยชน์แอบแฝง!
สิ่งนี้…ได้ทำให้ ทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย มีความตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องคำนึงถึงภาระในอดีต และไม่ตั้งคำถามตัวโตๆ จากสังคมไทย หรือจากประชาคมโลก
เมื่อเปรียบเทียบ รัฐบาลก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า…หลายครั้งที่ประเทศไทย ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง นั่นเพราะ “ผู้นำ” หรือ “บุคคลสำคัญบางคน?” มีสายสัมพันธ์ หรือผลประโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้าน
ส่งผลให้การดำเนินนโยบายต่างประเทศ ไม่สามารถทำได้อย่างอิสระเต็มที่…
แตกต่างจากยุคนี้…ความอิสระในการตัดสินใจ ได้กลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญ และกลายเป็น “เกราะคุ้มกัน” ในการต่อสู้เชิงการทูตกับอริราชศัตรู
นโยบายด้านการต่างประเทศของไทยในยุคนี้ ถือได้ว่า “เหนือชั้น” กว่ารัฐบาลชุดก่อนๆ
ไม่เพียงตอบโต้การบิดเบือนแ ละรักษาผลประโยชน์แห่งชาติได้อย่างมั่นคง แต่ยังสามารถจะสร้าง “เอกภาพ” ภายในประเทศ
สะท้อนภาพลักษณ์ความเป็น “ชาติที่เข้มแข็ง” ต่อสายตานานาชาติ
การต่อสู้กับ…อริราชศัตรู จึงไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องเขตแดน แต่ยังเป็นการ “ฟื้นฟู” ศรัทธาและศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก ได้อีกทางหนึ่ง…
และนี่คือ…บทพิสูจน์ความ “เหนือชั้น” ของประเทศไทย ต่อการยืนหยัดอย่างมั่นคง จนกว่า…ภัยคุกคามจากภายนอกประเทศเหล่านั้น…จะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย!!!.