ประชาชน!!??

พรรคประชาชน กับการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่อาจกลายเป็น “หัวเลี้ยวหัวต่อ” สร้างจุดเสี่ยงของการเมืองไทย
“ขันหมากการเมือง” พากัน “ยกทัพ” มาสู่ขอเจ้าสาว “ประชาชน” กันหัวกระไดไม่แห้ง???…
จะว่าไปแล้ว…หาก พรรคประชาชน หรือชื่อเดิมก่อนหน้านี้ “พรรคก้าวไกล” ฉลาดในทางการเมืองมากกว่านี้…สร้าง “แคนดิเดท” ว่าที่นายกรัฐมนตรี มากกว่า 1 คน...
หรือไม่? ก็เปิดเงื่อนไขการเมืองให้กว้างมากกว่าการ “ผูกติด!” ที่หากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะไม่ร่วมรัฐบาลอย่างเด็ดขาด!
หรืออย่างน้อย…เมื่อครั้งถูก ยุบพรรคเก่า แล้วมารวมตัว สร้างพรรคใหม่ ก็ลดเงื่อนไขในทางการเมืองให้มัน “ผ่อนปรน” มากกว่าเดิม…
การเมืองไทย…คงไม่มาไกลจนถึงตอนนี้แน่!!!
เมื่อ ชะตาลิขิต…ขีดเขี่ยให้ต้องเดินบนเส้นทางนี้ พรรคประชาชน จำต้องเลือก “เจ้าบ่าว” คนที่มีข้อด้อยน้อยที่สุด!
ทั้ง 2 พรรคที่ “ยกทัพ” มาสู่ขอ…ล้วนเคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจในทางการเมืองกับพรรคประชาชน (พรรคก้าวไกล) ไม่ต่างกัน…
พรรคหนึ่ง…สับปรับ หลักหลัง
อีกพรรค…เคยปรามาส แสดงท่าทีรังเกียจ…ไม่อยากร่วมทำงานการเมือง
พรรคหนึ่ง…มีปัญหา “ดำเนินนโยบายไม่เป็นคุณกับแผ่นดินและกองทัพ”
อีกพรรคหนึ่ง…อยู่ในข่ายร่วมเป็นจำเลยในคดีเขากระโดงและ “ฮั้ว สว.”
การเทคะแนนเสียง สส.ให้พรรคไหน? ได้เป็นรัฐบาลและมีนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ เป็น “หัวหน้ารัฐบาล” ว่ากันว่า…ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันมากนัก หรือไม่???
มีการประเมินกันว่า…ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทยในห้วงเวลานี้ ได้เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ และพรรคประชาชน กลายเป็น “กุญแจหลัก-สำคัญ” ในการชี้ชะตาการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ทั้ง 2 พรรค “เพื่อไทย – ภูมิใจไทย” ต่างแสดงความยินดีจะยอมรับเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ ที่พรรคประชาชนวางไว้
ทว่า การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการกำหนดว่า…ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากยังสะท้อนความเปราะบางและเสี่ยงอันตรายของระบบการเมืองไทยโดยรวมด้วย
การประชุมพิเศษของ ส.ส. พรรคประชาชน ในบ่ายวันนี้ (1 ก.ย.2568) ได้กลายเป็นที่จับตามองของสังคมการเมืองทั้งประเทศ แม้เบื้องต้น มีรายงานว่า…ผู้บริหารพรรคฯจะยังไม่เปิดเผยท่าทีชัดเจนว่าจะโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของฝ่ายใด? อ้างว่ายังต้องรอความชัดเจนจากการบรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาฯ
แต่ในความเป็นจริง ความเงียบที่ยืดออกไป กลับยิ่งเพิ่มมูลค่าของเสียง 143 เสียงในมือพรรคประชาชนให้ทวีความสำคัญมากขึ้น
พรรคการเมืองทุกพรรคต่างรู้ดีว่า…หากปราศจากการตัดสินใจของพรรคนี้ เกมในสภาฯย่อมไม่อาจปิดฉากได้ง่าย ๆ และนั่นหมายความว่าความวุ่นวายอาจยังยืดเยื้อต่อไป
ในมุมหนึ่ง พรรคเพื่อไทยอาจได้เปรียบ จากการที่ยังมีฐานเสียงกว้างขวางในหลายภูมิภาค และสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ว่า…หากอยากได้โครงการหรือมาตรการที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้ริเริ่มเอาไว้…กลับคืนมา
ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยกลับมาบริหารอีกครั้ง???
แต่กับอีกมุม พรรคเพื่อไทย…ก็เผชิญแรงเสียดทานมหาศาลจากข้อครหา ทั้งในประเด็น “หักหลังคำมั่นสัญญา” และปัญหา ความสัมพันธ์กับกัมพูชา ที่ถูกหยิบมาโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย แม้จะได้รับคำชมว่า…เป็นพรรคที่ส่งเทียบเชิญเจรจากับพรรคประชาชนก่อนใคร แต่ก็ถูกล้อมกรอบด้วยคดีความทั้งเรื่อง “ฮั้ววุฒิสภา” และกรณีพิพาท “ที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
ถือเป็น “เสี้ยนหนาม” ที่อาจถูกใช้ถล่มทางการเมืองได้ทุกเมื่อ
ถึงขั้นที่อาจลุกลามกลายเป็นว่า…หากพรรคประชาชนเลือกยืนข้างภูมิใจไทย ก็ย่อมเสี่ยงที่จะถูกโยงเป็นพวกเดียวกัน
หากมองอย่างเป็นกลาง สิ่งที่ พรรคประชาชน พยายามรักษาไว้ คือการแสดงออกว่าตนเป็นพรรคที่ไม่เลือกข้างใดอย่างรีบร้อน แต่ต้องการยืนยันหลักการ 3 ข้อที่ย้ำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น…
การยุบสภาภายใน 4 เดือน การเปิดทางสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชามติ และการไม่เข้าร่วมรัฐบาลไม่ว่าฝ่ายใด
เงื่อนไขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า…พรรคประชาชนต้องการปกป้องภาพลักษณ์ความเป็นกลาง และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า พวกเขาไม่ได้ร่วมสมคบคิดเพื่อเก้าอี้ทางการเมือง
แต่กระนั้นก็ตาม การที่พรรคประชาชนเลือกจะ “อุบไต๋” ไว้จนถึงวันโหวตจริง ก็ย่อมทำให้พรรคกลายเป็นเป้าโจมตีจากทุกทิศทาง ทั้งจากฝ่ายการเมืองที่ผิดหวัง และจากประชาชน ที่อาจมองว่า…
พรรคประชาชนไม่กล้าแสดงจุดยืนชัดเจน!!!
และหากพรรคประชาชนเลือกที่จะ “งดออกเสียง” ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ผลที่จะเกิดขึ้นคือกระบวนการสภาผู้แทนราษฎร จะไม่สามารถ “ปิดเกม” ได้ในรอบเดียว เนื่องจากการเลือกนายกฯ ต้องอาศัยเสียงเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุม
หากเสียงเห็นชอบไม่ถึงเกณฑ์ การโหวตจะต้องเลื่อนออกไปจัดซ้ำในรอบถัดไป
ผลลัพธ์คือ…ประเทศจะเข้าสู่ภาวะยืดเยื้อที่ไม่ต่างจากอัมพาต
รัฐบาลรักษาการ…มีอำนาจจำกัด ไม่สามารถเดินหน้าโครงการสำคัญใด ๆ ได้ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ และอาจเปิดช่องให้ “อำนาจนอกระบบ” เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันการเมือง…จนสั่นคลอนลงไปอีกขั้น
แต่ดูท่าทีของแกนนำพรรประชาชนแล้ว พวกเขา…ไม่น่าจะเลือกหนทางนี้ แล้วพวกเขาจะเลือกเทคะแนนเสียง สส.ให้กับใคร?
หันมามองกับบางมุม? ที่อาจเกิดขึ้น! และเป็น นายภูมิธรรม เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำนอง…หากพรรคเพื่อไทย…ไม่ได้ดั่งใจปรารถนา นั่นคือ ฉีกทุกกฎและความรู้สึกของพรรคการเมืองอื่นๆ โดยการ “ล้มกระดาน” ประกาศยุบสภาฯ ทั้งที่อำนาจของรักษาการนายกฯ ไม่น่าจะทำได้
ยอมรับทุกแรงกดทับ ในลักษณะ…ยอมสังเวยตัวเอง!!!
แม้ในทางปฏิบัติ เส้นทางนี้…จะเป็นหนทางที่เสี่ยงมากต่อเสถียรภาพ เพราะไม่ต่างจากการบอกประชาชนว่า “ระบบรัฐสภาไทยล้มเหลว” และสร้างภาระให้ประเทศต้องเสียเวลาและงบประมาณกับการเลือกตั้งซ้ำอีกครั้ง
ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนจำนวนไม่น้อยมองว่า ทุกพรรคการเมืองล้วนเสียหายในสายตาสาธารณะ ไม่มีพรรคใดที่มีภาพลักษณ์บริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงพอที่จะเป็นที่พึ่งได้จริง
การเลือกตั้งใหม่…จึงอาจไม่ได้สร้างความได้เปรียบให้พรรคใดชัดเจน
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังพอมี “จุดยืน” ที่สามารถสื่อสารได้ว่า…หากประชาชนต้องการโครงการหรือนโยบายที่ค้างอยู่กลับมา ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
แม้ในวันหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป อาจถูกโจมตีด้วยวาทกรรม “ด้านลบ” อย่างวลีกล่าวหาที่ว่า “ไส้ศึก…ขายชาติ…ไร้ผลงาน” หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที
มีเสียงวิจารณ์จากนักวิชาการบางคน? มองว่า…แม้ 2 พรรคเจ้าบ่าว จะหาดีได้ไม่ง่ายนัก แต่หากดูจากพฤติกรรมของ “ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว” ของ 2 พรรคแล้ว
พรรคหนึ่ง…พาเจ้าบ่าวมาด้วย อีกพรรค…มีแต่เถ้าแก่ แต่เจ้าบ่าวไม่มาโชว์ตัว
พรรคหนึ่ง…ประชุมพรรคฯและประกาศเป็นนโยบายพรรค พร้อมจะรับทั้ง 3 เงื่อนไข แต่อีกพรรค…สร้างเพียงวาทะกรรม หาได้จัดประชุม กระทั่ง กำหนดเป็นนโยบายพรรค เหมือนอีกพรรค…
นักวิชาการคนนั้น ชี้ว่า…ตรงนี้ อาจถูกนำมาประเมินเปรียบเทียบผ่านการทำ SWAT Analysis แล้วชี้เปรี้ยง! ไปยังพรรคที่ดูดีกว่า…
ถึงบรรทัดนี้…ในท่ามกลางสถานการณ์นี้ “จุดหัวเลี้ยวหัว” ในทางการเมือง นั้น การตัดสินใจในทางการเมืองของพรรคประชาชน ล้วนมีผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อทั้งระบบการเมืองไทย อย่างมาก
ทุกทางล้วนเต็มไปด้วยความเสี่ยง!!!
พรรคประชาชนจึงอาจต้องเลือกใช้กลยุทธ์…การยืดเวลาและปิดปากเงียบ เพื่อรักษาความเป็นตัวแปรหลักไว้ให้นานที่สุด
ประเทศไทยในเวลานี้ จึงเหมือน “เกมหมากรุก” ที่ทุกฝ่ายกำลังเดินหมากด้วยความระมัดระวัง ฝ่าย พรรคเพื่อไทย อาจต้องชั่งน้ำหนักว่า…ควรเดินหมากต่อ หรือยอมเสียม้าด้วยการยุบสภาฯ!!!
ฝ่ายภูมิใจไทยเอง ก็ต้องเผชิญกับเงื่อนปมคดีที่คอยเป็นจุดอ่อน
พรรคประชาชน ในฐานะ “ผู้ถือกุญแจ” จะเลือกเปิดประตูทางใด? ก็ยังไม่มีใครคาดเดาได้ชัดเจน
สิ่งที่แน่นอน คือ ทุกการเคลื่อนไหวของพรรคนี้ จะถูกจับตาโดยทั้งสังคมการเมืองไทย
และผ ลการตัดสินใจของพรรคประชาชน! ย่อมจะเป็นตัวชี้วัดว่า…การเมืองไทยจะก้าวสู่การประนีประนอม หรือจะดำดิ่งสู่ความเสี่ยงแห่งวิกฤติรอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง
คำตอบคงมีให้สังคมไทยได้เห็นกันในไม่ช้านี้แหล่ะ!!!.