ไม่อิ๊ง…ไม่โดนเท!!??

ถึงไม่มีโพลสำรวจความคิดเห็นของคนไทย…ทว่าแนวโน้มคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีในนามของพรรคฯ ก็ไม่น่าจะดีขึ้น หลังจากเหตุการณ์ “พลิกข้างสลับขั้วในทางการเมือง”
ทิ้ง…พรรคการเมืองร่วมฝั่งประชาธิปไตย ไปจับมือบรรดา “พรรคลุง” และเครือข่าย จัดตั้ง “รัฐบาลเศรษฐา” เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน (22 ส.ค.2566)
ผ่าน “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” ถึง “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” ผลงานที่มีออกมาในทุกมิติ แม้คนของรัฐบาลพยายามจะโชว์ออกมาให้เห็น…ทั้งตัวเลขการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 เดือน
แม้กระทั่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ละไตรมาส ที่คุยโวว่า…ทะยานมาตลอด
สุดท้าย…ตัวเลขจีดีพีจริงออกมา ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์โดยตลอดเช่นกัน
แม้รัฐบาลจะคุยโตว่า…ยอดมูลหนี้ภาคครัวเรือนที่เคยพุ่งทะลุกว่า 90% ของจีดีพี แต่ในวันนี้ หลังจากที่รัฐบาลและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง หนี้ภาคครัวเรือนของไทย เหลือต่ำกว่า 90% ของจีดีพีแล้ว
ทั้งที่ความเป็นจริง! เงินในกระเป๋าของคนไทยหายไปเยอะมาก
ช่องทางที่ทำให้เงินบาทไหลออกนอกประเทศ มีมากมายหลายช่องทางเหลือเกิน และรัฐบาลเพื่อไทย ก็ไม่อาจจะสกัดกั้นได้
ไหนจะ กลุ่มทุนคนไทย เอง ที่ขนเอาเงินกำไรที่ได้จากในประเทศ ไปลงทุนในต่างประเทศปีละนับแสนล้านบาท
ขณะที่ กลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย แล้วขนเอาผลกำไรที่มี ส่งกลับประเทศตัวเองไป อีกปีละหลายแสนล้านบาทเช่นกัน
พวก แรงงานต่างด้าว…สารพัดเชื้อชาติ ยั๊วเยี๊ยะและแย่งทำมาหากินบนแผ่นดินไทย เฉพาะที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง รวมกันมากกว่า 3.3 ล้านคน โดยแต่ละปี ธนาคารโลกระบุว่า…มีการส่งเงินกลับบ้านตัวเองไม่ต่ำกว่า 6-7 แสนล้านบาท
ไหนจะ ธุรกิจออนไลน์จากจีน ที่คอยถล่มซ้ำ! โดยในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่า…คนไทยใช้จ่ายเงินออนไลน์ (ตลาดอีคอมเมิร์ช) ซื้อสินค้าของต่างชาติเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท และกว่าครึ่ง เป็นธุรกิจของต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ
นี่ยังไม่นับรวม…พวกเซียนพนันที่ชอบข้ามไปเล่นได้เสียในบ่อนประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มนักพนันออนไลน์ ทั้งพนันฟุตบอล หวยรายวัน ราย 2-3 วัน รายสัปดาห์ สารพัดพนัน ที่ข้อมูลระบุว่า...มีสูงถึงกว่า 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี
เบ็ดเสร็จ…หลงโจ้ง สิริรวมที่เงินบาท…ค่อยไหลออกนอกประเทศ ผ่านสรพัดธุรกิจ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย รวมๆ กันแต่ละปี มีมากกว่า 2 ล้านล้านบาท
แม้จะมีเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ จาก 2 ธุรกิจหลัก ระดับ “พระเอก” อย่าง…ภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว แต่หากรัฐบาลยังคงเปิดกว้างและปล่อยให้เงินบาท ไหลออกนอกประเทศอยู่อย่างนี้…
อีกไม่นาน เลือด (เม็ดเงิน) หมดตัวแน่!!!
การที่ รัฐบาลชุดปัจจุบัน พยายามจะหาทางสกัดกั้นเงินบาทไหลออกจากธุรกิจพนันผิดกฎหมาย ถึงขั้นจะเปิดบ่อนกาสิโนขึ้นในประเทศ
ก็ต้องชี้ว่า…ทั้งช้าและไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นมาได้???
วันนี้ พวกต่อต้าน…ผสมโรงเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งพวกที่ ต่อต้านจริงๆ และพวกที่ รับเงินจากบ่อนพนันผิดกฎหมาย ในไทยประเทศและในต่างประเทศ เพื่อร่วมหยุดยั้ง…นโยบายตั้งกาสิโนถูกกฎหมายในไทย
ยังมีประเด็น “ภาษีทรัมป์” ที่พูดได้เต็มปากว่า…“รัฐบาลแพทองธาร” ชั้นไม่ถึง ขาดการวางแผน และเตรียมการที่ดี กระทั่ง การว่าจ้าง “ทีมล็อบบี้ยีสต์ – มืออาชีพ” ก็ทำแบบไม่เป็นโล้เป็นพาย เทียบไม่ได้กับ รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศยุคก่อน
ทำประเทศไทยและธุรกิจไทยเสียหาย เพราะไม่แน่ว่า…อัตราภาษีที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมจัดเก็บ…จะหยุดอยู่ที่ 36%
ดีไม่ดี…ไทยต้องโดนปรับเพิ่มไปอีก 10% จนขยับไปอยู่ที่ระดับ 46%
ก็ไม่น่าแปลกใจที่ภาพรวมเศรษฐกิจและจีดีพีของไทยจะเป็นอย่างนี้
ไม่น่าแปลก…หากการค้าขายของธุรกิจไทย จะอยู่ในสถานการณ์ “เจ็บจุก” คนซื้อหาย กำไรหด ต้นทุนแพง แต่สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดไทยได้ง่ายๆ
เช่นกัน…ไม่น่าแปลกใจ เหตุใดสำรวจความคิดของคนไทย ที่ “นิด้าโพล” ทำออกมาล่าสุด จะเป็นไปในลักษณะ เรียกร้องให้ “นายกฯแพทองธาร” ที่วันนี้ ยังคงถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ฯ ลาออกไปซะ!
ตลกร้ายกว่านั้น คือ มีเสียงเรียกร้องให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย รวมกันนานกว่า 8 ปี กลับมาทำหน้าที่ “นายกฯรอบ 3”
แม้บางคนจะมองว่า…เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และผลพวงจากกรณี “คลิปเสียง (นายกฯแพทองธาร – นายฮุน เซน) หลุด” จึงทำให้คนไทยกลุ่มใหญ่ อดคิดถึง “ลุงตู่” ไม่ได้
กระนั้น สิ่งนี้ มันได้สะท้อนว่า…แม้ภาพของ “ลุงตู่” ที่เป็นคนฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนและประชาชนคนไทย
ทว่า…ก็ยังมีค่ามากกว่า “รัฐบาลแพทองธาร”???
ไม่ว่า สถานการณ์การเมืองไทย…ในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? และ “นายกฯแพทองธาร” ที่ได้ทำการชี้แจงไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ (ครบ 15 วัน) จะมีผลคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร? จะไปต่อหรือพอแค่นี้
คนในตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย…จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
การส่ง น.ส.แพทองธาร มาทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” ในรอบนี้…อาจไม่ใช่ “จุดแข็ง” ที่ พรรคเพื่อไทย และ “สทร.” อย่าง…นายทักษิณ ชินวัตร “ผู้เป็นพ่อ” อยากเลือกหนทางนี้มากนัก
แต่เมื่อทุกอย่าง…มันอยู่ในสภาพ “ตกกระไดพลอยโจน” ไปแล้ว ทุกฝ่าย…ก็ต้องทนรับสภาพกันไป!
งานนี้…หากไม่ใช่ “นายกฯแพทองธาร” และ คลิปสนทนากับ “Uncle ฮุน เซน” แล้วล่ะก็ เชื่อว่า…คนไทยคงไม่แสดงพลัง “เท” ออกไปจากการเมืองไทย ได้รวดเร็วอย่างนี้…แน่นอน!!!.