“คนสนิท-สมคิด” ลั่น! สร้างเงินดิจิทัล 4 พันล. เติมแกร่งเศรษฐกิจชุมชนทั่วไทย

“รักษ์พงษ์” มือทำงานคนสำคัญของ อดีตรองนายกฯสมคิด คิดใหญ่! สร้างต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลประกาศนำมูลนิธิรวมพัฒน์ประสานพันธมิตร ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ผ่านเหรียญดิจิทัล “Tokenomic” วงเงินเริ่มต้น 4 พันล้านสร้างโอกาสให้คนชุมชนทุกภาคของไทย

นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(สทบ.) กล่าวระหว่างทำหน้าที่เป็น ประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการสร้างต้นแบบระบบเหรียญดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนจากชุมชนเมืองสู่หมู่บ้าน โดยมีสินทรัพย์พร้อมใช้งานเป็นอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ระหว่าง นายธนกฤช โชควรทรัพย์ ประธาน บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด อันมีความพร้อมให้บริการมากกว่า 1,000 ยูนิต ในเมืองท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งใน พัทยา ชะอำ และหัวหิน เป็นต้น ร่วมกับ ผู้พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโทเคน นายธนภัทร บัวลอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทเทอร์ดู จำกัด เจ้าของสิทธิบัตรระบบจัดการข้อมูลการทำงานร่วมกันด้วยโทเคน BETTER point และ ระบบ Community Service Tokenize ที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในระบบเหรียญดิจิทัล เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา

โดยย้ำว่า จากประสบการณ์ทำงานพัฒนาชุมชนเมืองและหมู่บ้านของตนตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้พบว่าชุมชนในเมืองใหญ่ และหมู่บ้านในต่างจังหวัด ได้ถูกแบ่งแยกและขาดการเชื่อมโยงกันจากกลไกต่างๆ ในอดีต จนทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถูกผูกขาดและควบคุม โดยตัวกลางในหลายมิติ แต่หากเราได้ลองไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ จะพบว่า ภาคใต้มีปลา ภาคกลาง มีข้าว ภาคเหนือมีภูเขา ภาคตะวันออกมีทะเล ภาคอิสานมีพื้นที่ราบใหญ่ ซึ่งทุกพื้นที่ของประเทศต่างมีสินทรัพย์ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพของคนไทยอยู่อย่างมากมายและเหลือล้น แต่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันโดยตรงได้ เพียงเพราะขาดเงินที่เป็นสื่อกลาง

จึงทำให้ต้องเกิดการกู้หนี้ยืมเงินมาเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมากและหมดอำนาจต่อรองทางธุรกิจลง จนไม่สามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้เพราะขนาดธุรกิจที่เล็กกว่ารายใหญ่หรือพ่อค้าคนกลาง และต้นทุนทางการเงินหรือดอกเบี้ยที่แพงกว่าบริษัทใหญ่หรือนายทุน การนำเทคโนโลยีบล็อคเชนที่พร้อมใช้แล้วในปัจจุบัน มาเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ให้เงินได้ไหลจากผู้คนจากชุมชนเมืองไปสู่หมู่บ้านในต่างจังหวัด แล้วไหลกลับจากผู้คนในหมู่บ้านต่างจังหวัดมาสู่ชุมชนเมืองเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนและเพิ่มมูลค่าในตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อันเป็นการกระจายอำนาจและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 

โดย มูลนิธิรวมพัฒน์ จะเป็นผู้สนับสนุนการศึกษาและออกแบบ Tokenomic ที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เหรียญดิจิทัลนี้เกิดมูลค่าแท้จริงทั้งในระบบเศรษฐกิจเชิงกายภาพ และ ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน อันมีทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนในระบบนิเวศน์ของเหรียญดิจิทัลนี้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหลักของวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีผู้ผลิตล้นระบบ แต่ผู้บริโภคขาดกำลัง จึงทำให้ระบบเศรษฐกิจชะงักชะงันขาดสภาพคล่อง จนไม่เกิดการหมุนเวียน หากปล่อยไว้อาจทำให้เศรษฐกิจของไทยเข้าสู่สภาวะวิกฤติจนยากจะฟื้นตัว เนื่องจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยต้องหยุดชะงักไปหลายภาคส่วนตั้งแต่เหตุสงครามการค้าโลก ตลอดจนสภาวะโรคระบาด จนมาถึงสถานะหนี้ท่วมโลก โดยอัตราหนี้ครัวเรือนของคนไทยสูงจนใกล้กับปริมาณรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของคนทั้งประเทศแล้วตอนนี้

ด้าน ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ รองประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ กล่าวเสริมว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการสร้างต้นแบบฯ ในวันนี้ นับเป็นนิมิตรหมายอันดีในการศึกษาและพัฒนาด้านกฎหมายของประเทศด้วย เนื่องจากเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นเรื่องที่ยังใหม่มากในระดับโลก โดยนานาประเทศยังอยู่ระหว่างการหาจุดเหมาะสมเพื่อนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจในรัฐของตน การหาสมดุลระหว่างการส่งเสริมและกำกับด้วยกฎหมายของรัฐ ด้วยการต่อยอดพัฒนาต้นแบบฯบนฐานกฎหมายเดิมจะทำให้เกิดการพัฒนาที่สร้างการยอมรับ และความเข้าใจได้ในวงกว้าง จนเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับนำไปสู่การพัฒนาที่ก้าวกระโดดได้โดยง่าย

ซึ่งจากประสบการณ์ในการเป็นอดีตอธิบดีอัยการยาเสพติด และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข อันได้มีส่วนร่วมในการศึกษาและขับเคลื่อนการปลดล็อคกฎหมายกัญชาและกระท่อม พบว่าการปลดล็อคศักยภาพการใช้งานของสินทรัพย์ต่าง ๆ จะก่อให้เกิดมูลค่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและประชาชนได้อย่างหลายเท่าทวีคูณ ซึ่งการสร้างต้นแบบฯทางกฎหมายในครั้งนี้ จะช่วยปลดล็อคและเป็นต้นแบบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้งานให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนระหว่างชุมชนเมืองและหมู่บ้านในหลายพื้นที่ของประเทศ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ อัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นหรือพื้นที่ เช่น สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ตลอดจนภูมิปัญญาไทย อันนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนของประชาชนได้เป็นอย่างดี 

ขณะที่ นายธนกฤช โชควรทรัพย์ ประธาน บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ADH ได้ดำเนินการและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในการขึ้นเป็นผู้นำการสร้างคอนโดเพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ลงทุนและผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดย ADH ได้ออกแบบและก่อสร้างพร้อมรองรับกลุ่มเป้าหมายตามมาตรฐานสากล ในทำเลยอดนิยมต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พัทยา ชะอำ หรือ หัวหิน โดยปัจจุบันมีความพร้อมเข้าอยู่อาศัยแล้ว กว่า 1,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท แต่ด้วยแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของเศรษฐกิจจากเดิม ที่ไทยเติบโตได้ โดยอาศัยการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสภาวะ Deglobalization ในปัจจุบัน ทำให้ทุกประเทศต้องมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งธุรกิจภาคอสังหาก็ต้องเร่งปรับรูปแบบการสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้าของ ADH เพิ่มมากขึ้นให้สอดรับกับระบบเศรษฐกิจใหม่ ทาง ADH จึงให้ความสำคัญกับความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ของการพัฒนา
ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดทั้งเศรษฐกิจแบ่งปันและหมุนเวียน(Sharing & Circular Economy) อันจะช่วยสร้างประโยชน์อย่างสูงสุดให้กับลูกค้าของเราที่เป็นทั้งผู้ลงทุนและผู้อยู่อาศัย ตลอดจนระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอีกด้วยหากความร่วมมือนี้ได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้น

สำหรับ นายธนภัทร บัวลอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทเทอร์ดู จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นการนำบล็อคเชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในตลาดหลักอย่างแท้จริงมากกว่าเป็นแค่การเก็งกำไรในตลาดรอง โดยได้พัฒนาขึ้นมาจนสามารถยื่นจดสิทธิบัตรระบบจัดการข้อมูลการทำงานร่วมกันด้วยโทเคนBETTERpoint และ ระบบ Community Service Tokenize ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือของโครงการนี้ให้บรรลุเป้าหมายจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ผู้อยู่อาศัย ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมได้อย่างแน่นอน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password