ร้อน! สแกนม่านตา

คดีสแกนม่านตา แลกเหรียญดิจิทัล ไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยี หากเริ่มจากคำถามเรื่อง “อำนาจ” เมื่อ “เงา” ใบสั่งทางการเมือง ถูกพูดถึงตั้งแต่ต้นทาง แล้วค่อยๆ ขยายตัวเป็น “โจทย์ใหญ่” ของรัฐ กับยุคของการเมืองในโหมดเลือกตั้ง ที่สุด! รัฐไทยยังควบคุมข้อมูลของประชาชนได้จริงหรือไม่? แค่ไหน?
ต่อเนื่อง…จนกลายเป็น ประเด็นและคดีการเมืองสุดดัง!!! ในห้วง…สงครามการเลือกตั้งครั้งใหม่! ที่เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น! หลังจาก อดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ศ.พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ให้การกับ พนักงานสอบสวน ทำนอง…
“การลงนาม MOU ดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งจากฝ่ายการเมือง”
กระทั่ง เรื่องนี้…ถูกชงให้เป็น “คดีพิเศษ” ในความรับผิดชอบของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI
และเกี่ยวพันกับ อดีต รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อย่าง…นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ที่มีอีกตำแหน่งใหญ่ คือ “เลขาธิการพรรคเพื่อไทย” 1 ใน 3 พรรคใหญ่…ที่มีโอกาสจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
ล่าสุด นายประเสริฐ พร้อมด้วย นายวัลลภ รุจิรากร อดีต เลขานุการ รมว.ดีอี เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 148/2568 เมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ ของวานนี้ (23 ธันวาคม 2568) เพื่อให้ข้อมูลในฐานะ “สักขีพยาน” ในการลงนาม MOU ระหว่าง…กระทรวงดีอีฯ กับ บริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapor ภายใต้…โครงการ Worldcoin
ถึงขั้นจับคนไทย 1.2 ล้านคน เข้า…สแกนม่านตา แลกกับการได้รับมอบเหรียญดิจิทัล!!!
แต่ที่มันกลายเป็น ประเด็นร้อน! เพราะดันมีเรื่อง…ข้อมูลชีวภาพของคนไทยนับล้านคน เข้ามาเกี่ยวข้อง
หลายฝ่าย…ทั้งฟากการเมือง, ข้าราชการประจำ นักวิชาการ ฯลฯ เห็นตรงกันว่า…คดีสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล กลายเป็น “กรณีศึกษา” ทางการเมือง…ที่สะท้อนความเปราะบางของรัฐไทยในยุคเทคโนโลยีอย่างเด่นชัด
ไม่ใช่เพราะ…นวัตกรรมล้ำหน้าเกินกฎหมาย แต่เป็นเพราะ “อำนาจ” ในการตัดสินใจและความรับผิดชอบของฝ่ายการเมือง ที่ไม่เคยถูกอธิบายอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ต้นทางของโครงการที่ว่านี้…
คำให้สัมภาษณ์ของ “อดีตข้าราชการระดับสูง” ของกระทรวงดีอี. ที่อ้างถึง “ใบสั่งทางการเมือง” นั้น แม้คำกล่าวดังกล่าว จะไม่เคยถูกพิสูจน์อย่างเป็นทางการ และไม่เคยถูกนำไปสู่ข้อยุติในทางกฎหมาย???
แต่การที่คำว่า “ใบสั่ง” ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ห้วงแรกๆ นั้น มันได้เปลี่ยนสถานะของโครงการนี้ โดยสิ้นเชิง!!! จากงานเชิงเทคนิค สู่โครงการที่ถูกตั้งคำถาม ที่ว่า…ใครเป็นผู้กำหนดทิศทางที่แท้จริง???
นับจากจุดนั้น คดีสแกนม่านตา…จึงไม่เคยถูกมองเป็นเรื่องเทคโนโลยีล้วนอีกต่อไป เพราะทุกความเคลื่อนไหวหลังจากนั้น ไม่ว่า…จะเป็นการทำบันทึกความเข้าใจ, การมีส่วนร่วมของเอกชนต่างชาติ หรือการปรากฏตัวของบุคคลทางการเมืองจากหลายขั้วในเหตุการณ์เดียวกัน
ล้วนถูกอ่านผ่านบริบทเดียวกันว่า…โครงการนี้อาจไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลเชิงนโยบายเพียงอย่างเดียว!!!
การที่ นายประเสริฐ เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับ DSI ในฐานะ “พยาน” จึงเป็นมากกว่า…กระบวนการตามสำนวนคดี
และจากคำยืนยันที่ระบุว่า…เป็นเพียงการให้ข้อมูล ก่อนจะย้ำว่า…รายละเอียดเป็นความลับ รวมถึง “เปิดช่อง” การตีความว่า…อาจเป็นประเด็นทางการเมือง!!??
มันยิ่งตอกย้ำในประเด็นที่ ผู้เกี่ยวข้อง เอง ต่างก็รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า…คดีนี้ได้ “ก้าวข้ามเส้น…คดีปกติ” ไปแล้ว
ในบริบทเช่นนี้ การหยิบคำว่า “กลั่นแกล้งทางการเมือง” มาอธิบายสถานการณ์ หากปราศจากหลักฐานรองรับอย่างเป็นรูปธรรม ย่อมไม่ใช่เกราะป้องกัน หากแต่จะกลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้คำถามเรื่อง “ใบสั่ง” ถูกขุดลึกมากยิ่งขึ้น!!!
เพราะใน สายตาสาธารณชน คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า…ใครกำลังถูกเล่นงาน? แต่อยู่ที่ว่า…เหตุใดโครงการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลชีวภาพของประชาชนจำนวนมหาศาล จึงสามารถเดินหน้าได้ท่ามกลางความคลุมเครือเช่นนี้???
“หัวใจ” ซึ่งเป็นปัญหาของเรื่องนี้ อยู่ที่ “ช่องโหว่” ในเชิงการสื่อสาร และการกำกับนโยบายของรัฐ!!??
บันทึกความเข้าใจ (MOU) ไม่มีการระบุเรื่อง…การสแกนม่านตา แต่มีการ “ลักไก่” เอาสิ่งนี้…มาใช้กับคน 1.2 ล้านคน
ก็ไม่น่าแปลกใจ! ที่เหตุใด สังคมไทย…จึงได้ตั้งคำถามตัวโตๆ ถึง “อำนาจ” และคำว่า “ใบสั่ง” ที่ได้แทรกกลางขึ้นมาอย่างมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้!!!
เมื่อคำว่า “ข้อมูลชีวภาพ” ถูกวางคู่กับ…คน/ธุรกิจต่างชาติ, คริปโตเคอเรนซี, การฟอกเงิน และการเลือกตั้ง
เกมนี้…จึงไม่อาจหยุดอยู่ที่คำถามว่า…รัฐมนตรีคนหนึ่งทำหรือไม่ทำผิดอีกต่อไป???
แต่ได้ถูก “ยกระดับ” เป็นคำถามเชิงอธิปไตยว่า…รัฐไทยยังควบคุมข้อมูลของประชาชนตัวเองได้จริงหรือไม่???
และหาก คำตอบที่ควรจะมีจากฝ่ายการเมือง ยังคงคลุมเครือ! วลี “ใบสั่งการเมือง” ก็จะยิ่งถูกใช้เป็น “กรอบ” ของการอธิบายแทน…ระบบรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ
ความซับซ้อนของคดีนี้…ยิ่งมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น! เมื่อภาพและบริบทของการได้มาซึ่งโครงการฯ ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงไปถึง..บุคคลทางการเมืองจากหลายพรรค และรัฐมนตรีบางคน? ใน “รัฐบาลรักษาการ”
รวมถึง “เขาคนนั้น?” นายเบน สมิท ผู้ที่ถูก แกนนำพรรคประชาชน ระบุว่า…มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายทุนสีเทา และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปใดที่ชี้ชัดความผิดได้? แต่ในเชิงการเมืองแล้ว…ภาพเหล่านี้ได้หลอมรวมคดีนี้ให้กลายเป็นคำถามต่อทั้งระบบ มากกว่าการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ในสนามเลือกตั้ง คดีลักษณะนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” ของรัฐที่ปล่อยให้เทคโนโลยี…วิ่งได้เร็วกว่ากฎหมาย และปล่อยให้การเมือง…วิ่งนำความรับผิดชอบ
วาทกรรมเช่นนี้ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งในโหมดการเลือกตั้ง!!! เพราะมันไม่ได้โจมตี…ใครคนใดคนหนึ่ง? แต่มันได้ “บั่นทอน!” ความเชื่อมั่นต่อรัฐทั้งระบบ…ในคราวเดียวกัน
หากรัฐไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า…ใครตัดสินใจ? ใครกำกับ? และใครต้องรับผิดชอบ?
ภาพจำของคนไทย…อาจไม่ใช่เรื่องความผิดตามกฎหมาย แต่จะเป็นภาพของรัฐที่ปล่อยให้ “ใบสั่ง” ในทางการเมือง อยู่เหนือระบบ! และปล่อยให้ “ข้อมูล” ของประชาชน…กลายเป็น “เงื่อนไข” ทางการเมืองโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว
ทางออกของเรื่องนี้ จึงไม่ใช่เพียงการรอผลสอบสวน แต่คือ…การ “คืนอำนาจ” การกำกับกลับสู่ระบบ
รัฐจะต้องเปิดเผยที่มา และกระบวนการตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา
ยืนยันให้ สังคมไทย ได้เห็นว่า…นโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับ “ข้อมูลชีวภาพ” ของประชาชน นับต่อแต่นี้ไป จะไม่ถูกนำไปใช้ผ่าน “แรงกดดัน” หรือ “คำสั่งนอกระบบ” ทั้งจาก…นักการเมือง และ/หรือ กลุ่มผลประโยชน์ทั้งในและนอกประเทศ อีกต่อไป
เพราะ ในท้ายที่สุด! คำถามที่สำคัญที่สุดของ “คดีสแกนม่านตา” ไม่ได้อยู่ที่จะมีชื่อใครในภาพต้นเรื่องนี้ หรือมีใครอยู่ในสำนวนคดี แต่มันคือคำถามที่ว่า…รัฐไทยยังมี “อำนาจ” ควบคุมข้อมูลของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่???
และ หากรัฐ…ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างหนักแน่น! ความเชื่อมั่นทางการเมือง…ก็จะถูกตั้งคำถามก่อนใครทั้งหมด
คำถามตัวโตๆ ที่ว่า…พวกคุณทำเรื่องพรรค์นี้ไปได้อย่างไร??? และทำไปทำไม???.






