the Thai system

(อย่าล้อและอย่ามาเล่นกับ “ระบบไทย” : Challenging Thailand’s system comes at a cost.)

เกมการเมืองระดับโลก! ที่รัฐไทยเลือกนำ “ระบบไทย” หลักคิดอิงความถูกต้องและชอบธรรมมาเป็นเกราะคุ้มกันทุกการกระทำ บีบให้…มหาอำนาจและเวทีนานาชาติ ต้องหยุดคิด! หากจะบีบไทย เพราะ “อุ้ม” อาชญากรรมข้ามชาติ อาจสร้างคำถามใหญ่ตามมา จะยืนข้างเครือข่ายผิดกฎหมายข้ามชาติกระนั้นหรือ???
ท่ามกลางแรงกดดันจากมหาอำนาจและเวทีโลก รัฐไทยเลือกไม่ท้าชนตรง แต่สร้างต้นทุนให้การกดดัน “ไม่คุ้ม” ทางการเมือง เพราะทุกแรงบีบที่ใส่ไทย โดยไม่แตะอาชญากรรมข้ามชาติ กำลังย้อนกลับไปเป็นคำถามใหญ่ ว่ากำลังยืนอยู่ข้างรัฐ…หรือข้าง
วลี “อย่าเล่นกับระบบ” ถูกพัฒนาและต่อยอด…จนกลายเป็น “อย่าเล่นกับระบบไทย” หรือที่ ฝรั่ง เรียกกันว่า…Challenging Thailand’s system comes at a cost.
สิ่งนี้…กลายเป็นวลีที่โลกต้องหันมามองไทย ด้วยสายตาและความเชื่อใหม่ ที่ว่า…
ไทยไม่ธรรมดา!!! ไม่ธรรมดาเพราะ…ระบบไทย! ไม่ใช่ระบบที่ “ชนะ” ด้วยการประกาศศักดา! ไม่ใช่ระบบที่ต้อง “ส่งเสียงดัง” เพื่อให้โลกหันมามอง และไม่ใช่ “ระบบ” ที่ตอบโต้ทุกแรงกดดัน! ด้วยอารมณ์หรือท่าทีแข็งกร้าว???
ตรงกันข้าม “ระบบไทย” คือ ระบบที่เลือกจะ “นิ่ง” ในจังหวะที่ต้องนิ่ง และ “ขยับ” ในจังหวะที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้!!??
โดยไม่จำเป็นจะต้อง “ท้าทายใคร?” ตรงๆ แต่ทำให้ใครก็ตาม…ที่คิดจะ “ท้าทายไทย” จะต้อง “ชั่งน้ำหนัก” ต้นทุนอย่าง…ให้รอบคอบก่อนลงมือทำอะไร? อย่างไร? กับไทย
ในโลกการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่ได้ตัดสินกันด้วย “กำลัง” เพียงอย่างเดียว หากแต่ตัดสินกันด้วย “เรื่องเล่า… ความชอบธรรม และการตีความ”
ระบบที่อยู่รอด…ไม่ใช่ระบบที่แข็งแรงที่สุด! หากแต่เป็น ระบบที่ทำให้ฝ่ายตรงข้าม “อธิบายตัวเองได้ยากที่สุด”
และนี่คือ…หัวใจของสิ่งที่เรียกว่า “ระบบไทย”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ตั้งแต่…ข้อครหาด้านสิทธิมนุษยชน, ความขัดแย้งตามแนวชายแดน, การใช้กำลังทางทหาร ไปจนถึง การจัดระเบียบแรงงาน และการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ
แต่สิ่งที่เห็นชัด คือ…ไทยแทบไม่เลือกเดินเกมเผชิญหน้า, ไม่เร่งยกระดับความขัดแย้งให้กลายเป็นประเด็นใหญ่บนเวทีโลก และไม่รีบตอบโต้ทุกเสียงวิจารณ์ที่พุ่งเข้ามา
สิ่งที่ไทยเลือกทำ คือ…การ “กำหนดกรอบ” ให้ปัญหาทุกเรื่องถูกมอง “ผ่านเลนส์” ความมั่นคง และการบังคับใช้กฎหมาย มากกว่า…จะปล่อยให้ “ถูกลาก” ไปเป็นความขัดแย้งรัฐต่อรัฐ หรือประเด็นการเมืองระหว่างประเทศที่ฝ่ายอื่นสามารถใช้เป็นเครื่องมือกดดันได้ง่าย
นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือ…การวางหมากเชิงยุทธศาสตร์ อย่างแยบยล!!!
เมื่อรัฐไทย…เลือก “นิยามศัตรู” เป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้าน, ไม่ใช่ประชาชน และไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์
เกมการเมืองรอบนี้…จึงเปลี่ยนไปในทันที!!!
เพราะการใช้กำลัง หรือมาตรการใดๆ ของรัฐต่อเป้าหมาย “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ”มักจะถูกอธิบายว่า…เป็นการจัดการภัยคุกคาม, ไม่ใช่การรุกราน
และเมื่อกรอบถูกวางเช่นนี้ ใครหรือชาติใดก็ตาม ที่ออกมาเรียกร้องให้ไทยหยุดปฏิบัติการ! โดยไม่แตะต้องปัญหาอาชญากรรม พวกเขา…จะตกอยู่ในสถานะที่ต้องอธิบายตัวเองต่อสาธารณะทันที!!!
ระบบไทย…จึงไม่ใช่ การเมืองแบบตะโกนใส่กัน! แต่เป็น…การเมืองแบบทำให้ฝ่ายตรงข้าม “ไม่มีพื้นที่ยืน” ไร้เกียรติ…ไร้ศักดิ์ศรี ทั้งใน ทางกฎหมาย, ทางความชอบธรรม, ทางศีลธรรม และทางภาพลักษณ์ที่ดีงาม
ในบริบทนี้ การบีบไทยให้หยุดยิง หรือชะลอปฏิบัติการ โดยไม่พูดถึง…โครงข่ายสแกมเมอร์, การค้ามนุษย์ หรืออาชญากรรมไซเบอร์ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะนั่นเท่ากับ…การปล่อยให้โลกได้ตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า…
“แรงกดดัน” นั้น มีเป้าหมายเพื่อยุติความรุนแรงจริงๆ หรือกำลังหลีกเลี่ยงการแตะต้องปัญหาที่เป็นรากของความไม่มั่นคงกันแน่???
และนี่คือ…เหตุผลที่ ชาติมหาอำนาจจำนวนมาก เลือกที่จะใช้ถ้อยคำระมัดระวัง, เลี่ยงการออกตัวแรง และหลีกเลี่ยงการ “ชี้นิ้ว” ใส่ไทยตรงๆ
ไม่ใช่เพราะ…ไทยมีอำนาจมากกว่า? แต่เพราะ “ต้นทุน” ทางการเมืองของการกดดันไทย มัน…“สูงเกินความจำเป็น” เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้กลับมา
ในระดับภูมิภาค…ระบบไทย ยิ่งทำงานได้แนบเนียน ผ่านกลไกความร่วมมือ และหลักการไม่แทรกแซง
โดยที่ไทย…ไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกเรื่องที่ทำ และไม่ต้องเปิดหน้าโต้เถียง แต่ปล่อยให้…กรอบความมั่นคงร่วม และความกังวลต่ออาชญากรรมข้ามชาติ ทำหน้าที่เป็น “เกราะ” ป้องกันตามธรรมชาติ!
มันจึงเป็นเรื่องยาก! ที่ใครหรือชาติใด? จะออกตัวมา “ปกป้อง” ประเทศหรือรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ในประเทศไทย “หลักคิด” เดียวกันนี้…ถูกนำมาใช้กับการ “จัดระเบียบ” แรงงานต่างด้าว และการบังคับใช้กฎหมายไทย
โดยเฉพาะ การไม่ต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานกัมพูชาในไทย ที่จะหมดอายุฯในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งนั่นจะทำให้ แรงงานกัมพูชา จะต้องกลับไปฉลอง “วันแห่งความรัก (วาเลนไทน์)” ที่บ้านเกิดของตัวเอง
รัฐไทย…ไม่ได้เลือกปะทะกับคนหรือกลุ่มใดโดยตรง แต่ใช้…กติกา, เส้นตาย และกระบวนการทางปกครอง เป็นเครื่องมือ
ผลลัพธ์ ก็คือ…การปรับตัว, การเคลื่อนย้าย หรือการออกจากระบบ เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง แต่ให้ “ผลลัพธ์เชิงอำนาจ” ที่ชัดเจน!!!
นี่คือ…ระบบที่ไม่ลงโทษด้วยอารมณ์ แต่ทำให้ “อยู่ต่อไม่ได้” หากไม่เคารพกติกา
เมื่อมอง ภาพรวม ตั้งแต่…ปัญหาความมั่นคง, ชายแดน และอาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึง…การทูต และเศรษฐกิจ
สิ่งที่เห็นชัด! คือ ระบบไทย…ไม่ได้ต้องการ “เอาชนะใคร” ในเชิงศักดิ์ศรี แต่ต้องการ “สร้างสมดุล” ที่ทำให้การท้าทายใดๆ ก็ตาม “ไม่คุ้มค่า” ต่อทั้งภาพลักษณ์ และต้นทุนทางการเมือง
นี่จึงไม่ใช่คำขู่! ไม่ใช่การโอ้อวด! และไม่ใช่การยกตัวเองเหนือใคร? แต่เป็นการ “สะท้อน” ภาพความจริงในเชิงโครงสร้าง ที่ว่า…
ใครหรือชาติไหน? ก็ตาม ที่คิดจะ “เล่น” กับระบบไทย ต้องตอบให้ได้ก่อนว่า…ตัวเองกำลังยืนอยู่ข้างรัฐที่พยายามจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ หรือกำลังยืนอยู่ข้างเครือข่ายผิดกฎหมายหรือไม่? อย่างไร?
เพราะไม่ว่า…จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม! แต่การที่ ชาติมหาอำนาจ หรือ ชาติที่ได้ชื่อว่าเป็น “ศัตรู” เพราะเชื่อมโยงกับธุรกิจสแกมเมอร์…เลือกจะเล่นกับระบบไทย ที่ยืนอิงข้างความถูกต้อง และอยู่ทั้งในใจและในสายของของประชาคมโลกแล้วล่ะก็…
อาจไม่ใช่วิธีและการกระทำที่ถูกต้องมากนัก!!!
และใน…เกมการเมืองโลก ที่มี “เดิมพัน” สูงเช่นนี้ คำเตือนสั้นๆ ที่ว่า…“อย่าเล่นกับระบบไทย”
จึงไม่ใช่ถ้อยคำที่พูดไว้ให้กลัว…
แต่เป็น…ประโยคที่อธิบาย “วิธีคิด” ของรัฐไทยได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็นอย่างที่สุด!!!
อย่าล้อและอย่ามาเล่นกับ…ระบบไทย! จำไว้!!??.






