สยบสแกมฯ สกัดไม่เด็ดขาด?


กองทัพไทยเปิดปฏิบัติการกดดัน “แก๊งสแกมเมอร์” ตามแนวชายแดนกัมพูชา ทำเครือข่ายธุรกิจเทาข้ามชาติชะงัก! เสียงชื่นชมจากนานาชาติ ท่ามกลางเสียงเตือน หากรัฐไทย…ไม่ตัดวงจร “เงิน – ซิม – บัญชีม้า” ที่สุด! สแกมเมอร์จะกลับมาในรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
ความเงียบผิดปกติ! ของเมืองชายแดนหลายจุด หลังเหตุปะทะไทย–กัมพูชา ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามว่า… ปัญหา “แก๊งสแกมเมอร์” ที่หลอกลวงคนไทยและชาวโลกมาอย่างยาวนาน กำลังถูกจัดการอย่างจริงจังหรือไม่???
ปฏิบัติการด้านความมั่นคงที่เข้มข้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมหลอกลวง…คอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายออนไลน์บางส่วน ลดลงอย่างชัดเจน!
เส้นทางลำเลียงแรงงานผิดกฎหมายสะดุด และโครงข่ายชายแดนที่เคยคึกคัก…กลับเงียบลงในเวลาอันสั้น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เคยย้ำท่าทีชัดในท่วงทำนอง…รัฐบาลและกองทัพไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาดกับ…อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งไม่เพียงบ่อนทำลายความมั่นคง แต่ยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ประเทศ
การปล่อยให้พื้นที่ชายแดนกลายเป็นฐานสแกมเมอร์ เท่ากับปล่อยให้ไทย…ตกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสีเทาในสายตานานาชาติ
ในมิติระหว่างประเทศ…ปฏิบัติการของไทย ได้รับเสียงตอบรับ “เชิงบวก” จากนานาชาติ โดยเฉพาะในอาเซียนและจีน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ “ตกเป็นเหยื่อ” ของขบวนการหลอกลวงเหล่านี้
ไทยถูกมองว่า…แสดงบทบาทเชิงรุก! ในการจัดการ “เศรษฐกิจผิดกฎหมาย” ที่เชื่อมโยง…การค้ามนุษย์, เว็บพนัน และการฉ้อโกงออนไลน์
เสียงชื่นชมดังกล่าว สะท้อนความคาดหวังว่า…ไทยจะสามารถ “ยกระดับ” การจัดการแก๊ง อาชญากรรมข้ามชาติ จาก…ระดับพื้นที่สู่ความร่วมมือระดับภูมิภาค ได้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่เห็นในระยะสั้น ยังไม่อาจสรุปได้ว่า…เป็นการ “ปิดจบเกม!” ในเชิงยุทธศาสตร์???
นักวิชาการด้านความมั่นคง ส่งสัญญาณเตือนตรงกันว่า…เครือข่ายสแกมเมอร์ มีลักษณะเป็นระบบเครือข่ายที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็ว เมื่อถูกกดดันอย่างหนักในพื้นที่หนึ่ง ก็พร้อมแตกตัว, เคลื่อนย้าย และเปลี่ยนรูปแบบการทำงานทันที!!!
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร เคยอธิบายเอาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า การกดดันทางทหารและความมั่นคงสามารถ “บีบพื้นที่” และทำให้เครือข่ายชะงักได้จริง แต่หากไม่สามารถทำลายโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาชญากรรมเหล่านี้ได้ สแกมเมอร์จะไม่หายไป เพียงแค่ย้ายฐานและรีแบรนด์ตัวเอง จากคอลเซ็นเตอร์ชายแดน ไปสู่เครือข่ายดิจิทัลที่ไร้พรมแดนและตรวจสอบยากกว่าเดิม
สัญญาณของการย้ายฐาน…เริ่มปรากฏ! จากเมืองชายแดนที่ถูกจับตาอย่างเข้มข้น ไปสู่พื้นที่ที่เงียบกว่า???
และ การเปลี่ยนวิธีจากการโทรศัพท์ตรง ไปสู่การใช้…โซเชียลมีเดีย, การปลอมเพจข่าว และการชักชวนลงทุน ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยี AI และคริปโตเคอร์เรนซี
โลกอาจลดร่องรอยของอาชญากรรมแบบดั้งเดิม แต่อาจจะไปเพิ่มความซับซ้อนและความเสี่ยงให้กับประชาชนและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ!!??
ในจังหวะเดียวกัน ฝ่ายค้าน…เริ่มตั้งคำถามถึง ความยั่งยืนทางด้านยุทธศาสตร์ของรัฐไทย ทั้งนี้ “หน.เท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แห่งพรรคประชาชน ในฐานะ แกนนำฝ่ายค้าน สะท้อนว่า…
การปราบสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน แต่สิ่งที่รัฐต้องตอบให้ชัด ก็คือ การจัดการเชิงโครงสร้างจะเดินหน้าอย่างไร???
หากยังไม่สามารถ “ตัดวงจร” ซิมโทรศัพท์, บัญชีม้า และเส้นทางฟอกเงินได้อย่างเป็นระบบ ความสำเร็จที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพียงผักชีโรยหน้า โดยที่ “กลไกหลัก” ของอาชญากรรมข้ามชาติ…ยังคงอยู่ครบถ้วน!!!
คำถามตัวโต ๆ ที่มีตามมา คือ มาตรการ “ตัดวงจร” เงิน, ซิม และบัญชีม้า รวมถึงการควบคุมคริปโตและการฟอกเงิน มันจะต้องเดินไปถึงขั้นไหน???
และรัฐไทยเอง จะมี “ตัวชี้วัดความสำเร็จ” ที่ชัดเจนเพียงใด???
หากไม่มีคำตอบที่จับต้องได้ ความเชื่อมั่นจากประชาชนและนานาชาติ…มีโอกาสที่จะอาจลดลงได้ในระยะยาว
ในเชิงยุทธศาสตร์…รัฐบาลและกองทัพไทย จำเป็นต้อง “ขยับ!” จากการสกัดเชิงพื้นที่ ไปสู่…การจัดการเชิงระบบ!!??
ทั้งการ “ยกระดับ” ข่าวกรองไซเบอร์, ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน, การบังคับใช้กฎหมายทางการเงินและดิจิทัลอย่างจริงจัง ตลอดจนการดูแล “เหยื่อค้ามนุษย์” และ “ผู้ถูกหลอกลวง” เพื่อรักษาความชอบธรรมในสายตาของประชมคมโลก
ขณะเดียวกัน ประชาชนและผู้ประกอบการเอง ก็ต้อง “ปรับตัว” เพื่อรับมือกับ “ภัยรูปแบบใหม่” ในยุคที่…สแกมเมอร์ “ถอดยูนิฟอร์มคอลเซ็นเตอร์แล้วใส่สูทดิจิทัล” แทน
รวมถึง จำเป็นจะต้องเข้มงวดและจริงจังต่อการตรวจสอบข้อมูล, การไม่หลงเชื่อข้อเสนอที่ให้ผลตอบแทนเกินจริง, การยกระดับระบบความปลอดภัยไซเบอร์ และการสร้างวัฒนธรรมระมัดระวัง! ในการทำธุรกรรมออนไลน์
ทั้งนี้ ก็เพื่อการ สร้าง “แนวป้องกันด่านแรก” ที่สำคัญไม่แพ้…การทำงานของภาครัฐ
ท้ายที่สุด! การ “สยบ!” แก๊งสแกมเมอร์…อาจไม่ใช่เรื่องของการชนะในสนามเดียว แต่มันคือ…สงครามยืดเยื้อ! ที่ต้องอาศัยทั้ง…พลังรัฐ, ความร่วมมือระหว่างประเทศ และภูมิคุ้มกันของสังคม
หากไทยสามารถ “เปลี่ยน” ความสำเร็จระยะสั้น ให้กลายเป็น…ยุทธศาสตร์ระยะยาว ด้วยการ “ตัดวงจร” อาชญากรรมข้ามชาติได้จริงแล้ว
เชื่อว่า…เสียงชื่นชมจากนานาชาติ จะไม่ใช่เพียงคำยกยอชั่วคราว หากแต่เป็นความเชื่อมั่นที่ยั่งยืน ต่อบทบาทของไทยในเวทีโลก อย่างไม่ต้องมีคำถามให้ชวนสงสัยอย่างแน่นอน!!!.






