Food Security Partnership

ดีลจีนซื้อข้าวไทย 5 แสนตัน ในช่วงที่พระมหากษัตริย์ไทยเสด็จเยือนจีน ถูกจับตามอง “ไม่ใช่เพียงข่าวดีชั่วคราว!” แต่เป็น “สัญญาณ” ยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหาร ของ 2 ชาติ ในฐานะ Food Security Partnership! คำพูดของ “นายกฯอนุทิน – นางศุภจี” สะท้อนภาพ จีนคือ “หุ้นส่วนอาหาร” ระยะยาว มิใช่แค่ “ลูกค้าข้าวรายใหญ่” น่าสนใจว่าภารกิจจากนี้ของ “รัฐบาลอนุทิน” จะแปรเปลี่ยน “ดีลข้าว – MOU 14 ฉบับ” สู่ความร่วมมือเชิงระบบ! หนุนไทยสร้างอำนาจต่อรองและราคาที่เป็นธรรมอย่างไร?

ภาพแห่งความประทับใจของพสกนิกรชาวไทย…เมื่อ พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินี ทรงเสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยมี ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และคณะผู้นำของจีน ร่วมรับเสด็จฯ…

เหตุการณ์ที่กลายเป็น “จุดศูนย์กลาง” ที่อยู่ในความสนใจของคนไทยและทั่วโลก นั่นคือ คำพูดจากปากของ ปธน.สี จิ้นผิง ที่ได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ ว่า…

“จีนจะซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นำถ้อยคำนี้ไปย้ำต่อสาธารณะในทันที

“นี่คือความหมายของคำว่าพระบรมเดชานุภาพ”

สะท้อนให้เห็นว่า…รัฐบาลไทยมองดีลนี้เป็นมากกว่าเศรษฐกิจ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระดับสูงสุด! ระหว่างไทยและจีน

ไม่นานหลังจากนั้น ก็เป็น…นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ออกมายืนยันว่า…“ดีลนี้ได้เดินเข้าไปอยู่ในระบบการสั่งซื้อของจีนแล้ว” และ เชื่อมโยงดีลนี้…เข้ากับโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีนอย่างชัดเจน พร้อมระบุว่า…

นี่คือผลของ “ปฏิบัติการหลายชั้น” ตั้งแต่การหารือของเอกอัครราชทูตจีนในกรุงเทพฯ ไปจนถึงการเจรจาระดับนายกรัฐมนตรีไทย กับทั้งนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน และ ปธน.สี จิ้นผิง

ความเคลื่อนไหวทั้งหมด! เกิดขึ้นบน “รากฐาน” ที่วางไว้ก่อนหน้านั้น…โดยเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ลงนาม MOU 14 ฉบับ กับ “รัฐบาลจีน” ที่กรุงปักกิ่ง ครอบคลุมตั้งแต่… AI, เศรษฐกิจดิจิทัล, อวกาศ, พลังงานสีเขียว ไปจนถึงการเกษตร, ศุลกากร และดิจิทัล

หลายฉบับ…วางกลไกพื้นฐานด้านข้อมูล มาตรฐาน และวิทยาศาสตร์ ที่สามารถต่อยอดสู่ความมั่นคงอาหารได้โดยตรง!

กล่าวอีกแบบ “ดีลข้าว 5 แสนตัน” มิได้ลอยมาจากอากาศ แต่มาอยู่ในจุดที่ “รางรถไฟ” ถูกปูไว้แล้ว ทั้งในมิติการทูต, เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพียงแต่ “รัฐบาลชุดปัจจุบัน” คือ…ผู้ที่จะต้องทำให้ “รถไฟขบวนนี้” เคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมายที่จับต้องได้ นั่นเอง

แต่หากจะเข้าใจดีลนี้…อย่างทะลุปรุโปร่ง? ต้องมองผ่าน “เลนส์” ของจีน เสียก่อน เพราะการล่วงรู้ว่า “ผู้ซื้อ” กำลังคิดอะไร? สำคัญมากพอ ๆ กับรู้ว่า “ผู้ขาย” ต้องการอะไร?

จีน..กำลังวาง “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหาร” ระดับชาติ! รองรับประชากร 1,400 ล้านคน ด้วยหลักการ 3 ประการ

หนึ่ง“ผลิตในประเทศเป็นหลัก นำเข้าอย่างเหมาะสม และมีคลังสำรองขนาดใหญ่พอรองรับความเสี่ยง”

จุดนี้…สะท้อนชัดผ่านนโยบายหลายชุด ตั้งแต่…การขยายพื้นที่ผลิต, การเพิ่มสต๊อกเชิงยุทธศาสตร์ ไปจนถึง การกระจายแหล่งนำเข้าเพื่อบรรเทาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งจาก…สงคราม, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึง การกดดันของประเทศคู่แข่ง

เมื่อมองจากปัจจัยเหล่านี้ ไทยจึงถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มผู้ส่งออกหลักระดับปลอดภัย” สำหรับจีน

เพราะ ไทย…มีเสถียรภาพการผลิตสูง, คุณภาพสม่ำเสมอ และมีกรอบความร่วมมือรัฐต่อรัฐ ครอบคลุมในหลายมิติ ทำให้จีนมั่นใจ ว่า…

พญามังกรจะสามารถวางแผนสต๊อกระยะยาวกับไทยได้!!!

ฝั่งไทยเอง…สถานการณ์ ผลผลิตปี 2568–2569 ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อก เพราะประเทศมีผลผลิตราว 21–22 ล้านตันต่อปี สต๊อกในประเทศระดับ 3–4 ล้านตัน

ฉุดราคาข้าวผันผวนหนัก! จนรัฐบางต้อง “อุดหนุน” ชาวนา ผ่านมาตรการชะลอขายและพยุงราคา

การผลักดัน ดีล G2G กับจีน จาก 280,000 ตัน ขึ้นเป็น 500,000 ตัน จึงเป็น…ส่วนหนึ่งของ “ชุดนโยบายแก้ราคาข้าว” ที่ นางศุภจี เรียกว่า…Quick Big Win

แต่ โครงสร้างความมั่นคงอาหารระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ได้จบที่…ดีลหนึ่งดีล และนี่คือ “จุดเปราะบาง?” ที่ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องคิดให้ลึกกว่าแค่…“ขายได้เท่าไร???”

ความเสี่ยงหนึ่ง คือ การที่ไทยพึ่งพา “ตลาดจีน” มากเกินไป??? หาก…โครงสร้างดีล, มาตรฐาน และข้อมูล อยู่ใน “มือจีน” เป็นหลัก ไทยก็อาจ “สูญเสีย” อำนาจต่อรองในระยะยาว เหลือเพียงบทบาท “ผู้ส่งออกตามคำสั่งซื้อ” มากกว่าการเป็น “หุ้นส่วนวางแผนอาหาร” ในความหมายเชิงยุทธศาสตร์

อีกความเสี่ยง ก็คือ ความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองในไทยเอง ซึ่งทำให้การติดตามผล MOU 14 ฉบับ ยังไม่เป็นระบบ เปิดช่องให้ฝ่ายจีน…วางจังหวะตามไทม์ไลน์ของตัวเอง

แต่ในความเสี่ยง…ยังมีโอกาสสำคัญแฝงอยู่??? หากไทย…สามารถเติม “ระบบ” ลงไปในความร่วมมือได้ และนี่คือ…ข้อเสนอที่ “รัฐบาลอนุทิน” สามารถจะนำไปใช้ “ต่อยอด” จากสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ นั่นคือ…

มิติที่ 1 การใช้ความร่วมมือด้าน AI–วิทยาศาสตร์ที่ 2 ประเทศลงนามไว้ ตั้งห้องแล็บ AI ไทย–จีน เพื่อให้มี “ภารกิจด้านอาหาร” โดยตรง! เช่น การพยากรณ์ผลผลิตข้าว การคาดการณ์ภัยแล้ง–น้ำท่วม และการบริหารสต๊อก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ช่วยไทย “เพิ่มอำนาจต่อรอง” ด้วยความแม่นยำ ไม่ใช่แค่…รอราคาตลาดโลก

แต่ต้องทำบน “หลักที่ชัดเจน” ว่าด้วยเรื่อง “สิทธิในข้อมูล” โดยต้องมีข้อตกลงย่อยด้าน IP และ Data Sharing ระบุว่า…

ข้อมูลดาวเทียมของพื้นที่ไทย และข้อมูลชาวนาไทย เป็นของใคร? ใช้เพื่ออะไรได้บ้าง?

ควบคู่ไปกับ การจัดตั้ง “คณะกรรมการจริยธรรม AI ไทย–จีน” เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีนี้ ถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” ผูกขาดตลาด หรือนโยบาย

มิติที่ 2 การสร้าง Roadmap เศรษฐกิจดิจิทัลไทย–จีน 5 ปี โดยมี…แกนเรื่องอาหารและเกษตร ตั้งเป้าชัดเจนว่า…ผลไม้, ข้าว และสินค้าเกษตรพรีเมียมไทย จะเข้า “แพลตฟอร์มจีน” ได้เท่าไร? ภายในกี่ปี? และต้องเร่งจัดตั้ง ศูนย์ R&D หรือ “Thai Agri Hub” ร่วมกับจีน…ในพื้นที่ EEC เพื่อยกระดับโลจิสติกส์อาหารและ smart farming

ในระดับห่วงโซ่จริง! ไทยต้องเร่งตั้ง “กองทุนปรับมาตรฐาน” ฟาร์ม, โรงสี และโรงงาน ให้ผ่าน “มาตรฐานจีน” ทั้ง HACCP, traceability และ carbon footprint เพื่อให้ ไทย…มีน้ำหนัก “ต่อรอง” มากขึ้น…ในดีลระยะยาว

และเมื่อ “ผูกระบบนี้” เข้ากับ Single Window และศุลกากรดิจิทัล ที่ไทย–จีน กำลังพัฒนาร่วมกัน จะทำให้การ “ตรวจสอบย้อนกลับ” ตั้งแต่…ชาวนา, โรงสี, ท่าเรือ และศุลกากรจีน กลายเป็น “ข้อมูลชุดเดียวกัน” ซึ่งจะ ช่วย “เพิ่ม” ความมั่นใจให้ “ผู้ซื้อจีน” อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม “ข้อได้เปรียบ” ให้ผู้ส่งออกไทย

ดีลข้าวครั้งนี้…ยังสามารถถูกใช้เป็น “โครงการนำร่อง” ให้ Single Window ไทย–จีน ได้ทำงาน “เต็มรูปแบบ” กับสินค้าข้าว โดยกำหนด “ไทม์ไลน์” ร่วมกันว่า…เมื่อไหร่เอกสารเกี่ยวกับข้าวทุกใบจะเป็นดิจิทัลทั้งหมด? และเอกชนต้องเตรียมอะไรบ้าง?

ส่วน ความร่วมมือ “ด้านอวกาศ” ที่กำลังเดินหน้า ทั้งการ ติดตั้ง payload ไทย บนยานโคจรรอบดวงจันทร์ของจีน และ การพัฒนาเทคโนโลยีสังเกตการณ์ระยะไกลร่วมกัน สิ่งนี้…สามารถนำมาใช้วิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูก, ประเมินผลผลิตล่วงหน้า และบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำสำคัญของไทย

สำหรับ ความร่วมมือด้านสื่อ ที่ไทย–จีน ได้ลงนามไว้เพื่อ “ต้านข่าวปลอม” ต้องถูกกำกับอย่างรอบคอบ เพราะ ข้อมูลด้านสต๊อกอาหาร, คุณภาพสินค้า หรือปัญหาสารเคมี ถือเป็น “ข้อมูลสาธารณะ” ที่ต้องมีการเปิดเผย

ไม่ใช่ถูก “ปิด” เพื่อรักษาภาพลักษณ์

“รัฐบาลอนุทิน” เอง ก็ควร “ตั้งการ์ด” ด้านสิทธิรับรู้ข้อมูล! ไว้อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ “กลไกความร่วมมือด้านสื่อ” กลายเป็นเครื่องมือควบคุมข้อมูลด้านอาหาร!!??

ทั้งหมดใน MOU 14 ฉบับไทย-จีน นี้…ล้วนสัมพันธ์โดยตรง! กับการวางแผนความมั่นคงอาหารของรัฐบาลจีน!!!

เมื่อ รวม “ทุกมิติ!” เข้าด้วยกัน จะเห็นภาพชัดว่า…Food Security Partnership” ระหว่างไทย–จีน ไม่ใช่เรื่องของการขายข้าวแค่เพียงในปีนี้

แต่จะเป็น การ “วางระบบ” ความร่วมมือยาว 5–10 ปี ที่ไทยสามารถ “ยกระดับ” จาก…“ผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญ” ไปเป็น…“หุ้นส่วนวางแผนเสบียง” ของจีนได้หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้อย่างรอบคอบ???

ดีลข้าว 5 แสนตัน มิต่างจาก…ประตูที่เปิดแล้ว และคำพูดของ “นายกฯอนุทิน” กับ นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของ นางศุภจี จะเป็น…แรงผลักดัน! ให้ไทยเดินเข้าไปสู่หมุดหมายข้างต้นได้จริง!!!

ปัญหาสำคัญ ก็คือ…ไทยจะ “เดินผ่าน” ประตูแห่งโอกาสนี้ ไปอย่างมีกลยุทธ์และมีแผนยุทธศาสตร์? หรือ…จะเดินไปแบบปีต่อปีตามราคาข้าว?

เพราะสุดท้าย…ใน “เกมความมั่นคงอาหาร” ที่ใหญ่กว่า…ประเทศใดประเทศหนึ่ง นั้น สิ่งที่ควรถูก “ยึด” เป็น “ศูนย์กลาง” ไม่ใช่…ตัวเลขการส่งออก

แต่คือ…ความมั่นคงของชาวนาไทยในอีกทศวรรษข้างหน้า!!?? และ ความสามารถของไทย ในการยืน “บนโต๊ะเจรจา” อย่างภาคภูมิ ในฐานะ “หุ้นส่วน” ที่จีนอยากร่วมมือด้วย

ไทย…จะไม่ได้เป็นแค่เพียงประเทศผู้ขายข้าวและอาหาร ที่ “รัฐบาลจีน”…จะเลือกซื้อเมื่อมีเหตุจำเป็น…อีกต่อไปแล้ว!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password