‘อนุทิน’ โชว์บทบาทเชิงรุก! กลางเวทีเอเปค – ชี้! นานาชาติฟังแนวทางไทยที่กำลังโชว์บทบาทบนเวทีโลก

นายกฯอนุทิน โชว์บทบาทเชิงรุก! บนเวทีเศรษฐกิจโลก “เอเปค” ระบุ! “ความร่วมมือไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น” เดินหน้าผลักดันภูมิภาคให้เชื่อมโยง เข้มแข็ง และยั่งยืน โพสต์ภาพยืนเคียง โชว์ภาพ “ทักทาย-จับมือ” ผู้นำหลายชาติอย่างเป็นกันเอง ด้าน “สีหศักดิ์” ชี้! ต่างชาติสนใจฟังแนวทางไทยมากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนบทบาทระหว่างประเทศ จัดประชุมปราบสแกมเมอร์และเดินหน้าวาระดิจิทัลอาเซียน

ช่วงสายวันนี้ (31 ต.ค.2568) ตามเวลาท้องถิ่น ห้อง 300C ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention Centre (HICO)  เมืองคยองจูเกาหลีใต้, นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เข้าร่วมการประชุม ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 รอบที่ 1 (The 32nd APEC Economic Leaders’ Meeting – Session I) ภายใต้หัวข้อ Towards a More Connected, Resilient Region and Beyond”  

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม ขอบคุณเจ้าภาพเกาหลีใต้ที่จัดงานอย่างยอดเยี่ยม ต้อนรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในฐานะแขกรับเชิญของประธาน พร้อมยกถ้อยคำของ นาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” เพื่อเชื่อมโยงสู่สารหลักของไทยว่า ในยุคแห่งความท้าทายซับซ้อน ความร่วมมือไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น  เอเปคจึงต้องคงไว้ซึ่งความเปิดกว้าง การมีส่วนร่วม และการมุ่งสู่อนาคต สร้างภูมิภาคที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

บนเวทีเดียวกัน นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การค้าเสรีและตลาดที่เชื่อมโยงกันคือรากฐานของความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ไทยสนับสนุนกรอบความร่วมมือที่ทันสมัย ครอบคลุม และตั้งอยู่บนกติกาสากล เพื่อให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ MSMEs เข้าถึงประโยชน์ของการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม

อีกทั้ง ยังชี้ให้เห็นบทบาทของการลงทุนในฐานะแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยกล่าวถึง โครงการ Thailand FastPass ที่รัฐออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนคุณภาพในสาขาพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้การเติบโตวันนี้ไม่ทิ้งภาระให้คนรุ่นถัดไป แต่กลับยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจสีเขียวไปพร้อมกัน

นายกรัฐมนตรี ระบุเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตต้องขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน เคียงคู่กับภาครัฐ ผ่านการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การเสริมทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการทำให้มาตรฐานดิจิทัลสอดคล้องกันระหว่างเขตเศรษฐกิจ เพื่อให้การค้ารวดเร็ว โปร่งใส และทั่วถึง ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับแรงบันดาลใจจากความร่วมมือภายใต้เอเปค จึงเริ่มกระบวนการเข้าสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นต่อมาตรฐานสากลและธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ

ในด้านการขยายเครือข่ายความร่วมมือ ประเทศไทยยังเดินหน้าสานสัมพันธ์กับเขตเศรษฐกิจนอกภูมิภาค โดย นายกฯอนุทิน ระบุว่า ในปีนี้ ไทย–จีนจะร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง ขณะที่ปีหน้า ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Ministerial Meeting) และ การประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลก ซึ่งจะเป็น เวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิกเอเปคและนอกเอเปค เพื่อร่วมกันรับมือความท้าทายและเปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ

“เอเปคสามารถร่วมกันสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อประชาชนในวันนี้และคนรุ่นต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำสารหลัก

นอกเหนือจากถ้อยแถลงเชิงนโยบาย นายอนุทิน ยังใช้โอกาสการประชุมใน มิติประชาสัมพันธ์ประเทศ โดยโพสต์ภาพผ่านสื่อสังคมออนไลน์ขณะยืนเคียงและทักทายผู้นำประเทศและผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นกันเอง อาทิ การจับมือสนทนากับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการพบปะกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ สะท้อนบรรยากาศสร้างสรรค์ที่เอื้อให้ไทยสื่อสารวาระแห่งความร่วมมือได้อย่างตรงประเด็น พร้อม ภาพคู่กับนาง Kristalina Georgieva ผู้บริหาร IMF ที่ทั้งสองฝ่ายยิ้มแย้ม

โดย นายกฯอนุทิน ได้อ้างถ้อยคำ “ความไม่แน่นอนคือ New Normal” เพื่อเน้นย้ำความจำเป็นของการออกแบบนโยบายที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว ซึ่งประเทศไทยมองว่า…เครื่องมือสำคัญคือการประสานงานเชิงสถาบัน การยกระดับมาตรฐาน และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

สารหลักทั้งหมด สอดคล้องกับกรอบวาระ “Towards a More Connected, Resilient Region and Beyond” ที่เอเปคหยิบยกในปีนี้ ซึ่งมุ่งให้สมาชิกเร่งเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล–โลจิสติกส์ ปรับปรุงกฎระเบียบให้รองรับเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม สนับสนุนการค้าบริการและอีคอมเมิร์ซ ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานและระบบการเงิน ท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้นของเศรษฐกิจโลก

แนวทางของไทยที่ผสาน “ความเปิดกว้างทางการค้า” กับ “ความยั่งยืน” และ “มาตรฐานดิจิทัลร่วม” จึงถูกเสนอให้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบระดับภูมิภาค โดยรัฐบาลคาดหวังว่าผลลัพธ์จากการประชุมครั้งนี้จะหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน และต่อยอดความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน

ขณะเดียวกัน ในมิติการทูตเชิงรุก! นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึง การขับเคลื่อนบทบาทของไทยบนเวทีระหว่างประเทศ ว่า กำลังได้รับความสนใจจากหลากหลายประเทศ หลายฝ่ายต้องการรับฟังแนวทางของไทยต่อประเด็นกติกาการค้าระหว่างประเทศและการคุ้มครองระบบเศรษฐกิจเสรี

โดยใน การประชุมอาเซียนซัมมิท ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอหลายประเด็น โดยเฉพาะ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งหลายประเทศกังวล ดังนั้น ประเทศไทยจึงเสนอเป็นเจ้าภาพการประชุม “ปราบปรามสแกมเมอร์” เพื่อบูรณาการมาตรการเชิงป้องกัน–ปราบปราม และแลกเปลี่ยนข่าวกรองระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ตลอดจน ต่อยอดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ไทยมีบทบาทนำในกรอบอาเซียน

รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า สัญญาณเชิงบวกที่เห็นได้ชัดคือ “หลายประเทศอยากฟังว่าไทยคิดอย่างไร และเราจะเสนออะไรต่อโลก” ตั้งแต่การประชุมอาเซียนซัมมิท ต่อเนื่องสู่ APEC และตลอดปี 2025–2026 ที่ไทยมีภารกิจเจ้าภาพหลายรายการ ได้เกิดการหารือทวิภาคีอย่างหนาแน่น ชี้ให้เห็นว่า ความพยายาม “ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า” ในทางเศรษฐกิจดิจิทัล มาตรฐานการค้า และความมั่นคงของพลเมือง กำลังแปรรูปเป็นทุนทางความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ

นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ ระบุว่า เมื่อประมวลทั้ง มิติการพบปะผู้นำคู่ขนานกับเวทีอย่างเป็นทางการ ถ้อยแถลงเชิงนโยบายที่เน้นการเปิดกว้างและยั่งยืน ตลอดจน สัญญาณจากการทูตที่แอคทีฟ ภาพรวมสะท้อน ว่า…รัฐบาลไทยกำลังวางตำแหน่งประเทศในฐานะ “ผู้ร่วมออกแบบกติกา” มากกว่าผู้ตาม

โดยตั้งเป้าเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างเศรษฐกิจในภูมิภาคกับมาตรฐานสากล หนุนภาคเอกชนให้เป็นหัวรถจักรการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–สีเขียว ควบคู่กับ การยกระดับศักยภาพคนไทยให้เท่าทันเทคโนโลยีและงานอนาคต ภายในบริบทที่ยอมรับว่า “ความไม่แน่นอนคือ New Normal” แต่ก็เชื่อมั่นว่า “ความร่วมมือที่มีกติกา” จะทำให้ภูมิภาคเดินหน้าอย่างมั่นคง

ท้ายที่สุด บทบาทของไทยบนเวทีเอเปค ในครั้งนี้ นอกจาก สะท้อนความพร้อมของไทยในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางเศรษฐกิจภูมิภาคแล้ว ยังเป็น โอกาสสำคัญในการสื่อสารภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นมิตร สร้างสรรค์ และเชื่อถือได้ ผ่านทั้งการแลกเปลี่ยนในห้องประชุมและ “Soft Diplomacy” ที่เกิดขึ้นตามขอบเวที

ภาพการยืนเคียงข้างและการจับมือ “ผู้นำ” หลายประเทศของนายกรัฐมนตรี จึงไม่ใช่เพียงภาพที่ “ชื่นมื่น” บนโซเชียลมีเดีย หากเป็น “สัญญะ” ของความตั้งใจจะทำให้ความเป็นหุ้นส่วนระดับภูมิภาคจับต้องได้จริง

ขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เดินหน้ากลยุทธ์ “เสริมรั้ว” ความร่วมมือในประเด็นที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น…การป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติหรือการอำนวยความสะดวกทางการค้าดิจิทัล เพื่อให้วาระ “เชื่อมโยง–เข้มแข็ง–ยั่งยืน” ไม่ได้อยู่แค่ถ้อยคำ แต่เป็นผลลัพธ์ที่ปรากฏต่อชีวิตของผู้คนในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password