สะพานเชื่อมเอเปค?


“ผู้นำไทย” ประกาศบทบาทใหม่บนเวทีเอเปค “สะพานเชื่อมเศรษฐกิจ ก้าวข้ามขอบเขตแห่งอนาคต สู่ความยั่งยืน” ดึงความร่วมมือเป็น “คานงัด” เศรษฐกิจ ยกระดับมาตรฐานประเทศสู่สากล ชู! การเติบโตแบบมีส่วนร่วม ดิจิทัลเพื่อประชาชน และสีเขียวเพื่ออนาคต นี่แค่บางส่วน สู่โจทย์ใหญ่ สร้าง“สะพาน” หนุนไทยเป็น “ศูนย์กลาง” เชื่อมโยง ให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้จริง!!!
“ผู้นำไทย” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้รับเกียรติจาก วงประชุม “สุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปค” (APEC CEO Summit 2025) ขึ้นเวทีกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Bridge Business Beyond” ท่ามกลางบรรดา…ผู้นำเขตเศรษฐกิจฯ นักธุรกิจชั้นนำ และองค์กรระหว่างประเทศ ณ เมืองคยองจู เกาหลีใต้ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (30 ต.ค. 2568)
เนื้อหาสำคัญ! สะท้อนภาพประเทศไทยที่กำลังขยับบทบาทจาก “ผู้ร่วมวง” สู่ “ผู้เชื่อม” โลกเศรษฐกิจในห้วงเวลาที่ “ระบบพหุภาคี” กำลังอ่อนแรง และภูมิรัฐศาสตร์กำลังเปลี่ยนขั้วอย่างเข้มข้น
นายกฯอนุทิน เปิดคำพูดด้วยหลักคิด ว่า “การเติบโตที่แท้จริงต้องเริ่มจากประชาชน” แล้วคลี่ภาพยุทธศาสตร์ “สะพาน” ของไทยใน 3 มิติ ที่เกี่ยวเนื่องกันเป็น เส้นเรื่องเดียว…
เชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสทางธุรกิจ และมองไปให้ไกลกว่าพรมแดนเดิม เพื่อกำหนดอนาคตร่วมที่ทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสีย
แกนแรก คือ การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจให้การเติบโตไม่กระจุกตัว รัฐบาลหยิบเครื่องมือที่ประชาชนสัมผัสได้จริงมาวางเป็นฐาน เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าครองชีพและดึงผู้คนเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อม ลงทุนหนักกับทุนมนุษย์ ผ่านการยกระดับทักษะใหม่และทักษะดิจิทัล โดยมี ประชาชนเข้าร่วมการอบรมด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีสีเขียวแล้วกว่า 5 แสนคน
เจตนารมณ์ คือ ทำให้แรงงานไทยพร้อมรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และทำให้ “สะพานดิจิทัล” เป็นของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ของคนเมืองหรือกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย
ทว่า เมื่อวัดกับข้อเท็จจริงภาคสนาม ภารกิจนี้ยังท้าทาย…ตั้งแต่ คุณภาพอินเทอร์เน็ตในชนบท ต้นทุนอุปกรณ์ ไปจนถึง หลักสูตรที่ต้องสอดรับกับความต้องการจริงของตลาดแรงงาน
หากรัฐสามารถ “ผูกสาย” นโยบายให้ไหลลื่น ตั้งแต่…การอบรม การเข้าถึงเครื่องมือ ไปจนถึง การจับคู่ทักษะกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่องว่างก็จะค่อย ๆ แคบลงและปูทางสู่การเติบโตแบบมีส่วนร่วมได้จริง!!!
แกนต่อมา คือ การสร้างโอกาสให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย
โดย นายกรัฐมนตรีไทย ประกาศเดินหน้า “SME Reboot and Go Digital” ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 200,000 รายเข้าถึงการตลาดออนไลน์ ระบบ e-payment และแหล่งทุนที่โปร่งใส พ่วงด้วยการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและยกระดับระบบสินเชื่อให้เข้าถึงได้มากขึ้น
ตัวอย่างรูปธรรมที่ฉายชัด! นั่นคือ การเชื่อมระบบ PromptPay ของไทยกับ PayNow ของสิงคโปร์ ทำให้ประชาชนและธุรกิจสามารถทำธุรกรรมข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เป็น “สะพานการเงินดิจิทัล” ที่ไม่ต้องใช้เหล็กหรือปูน แต่ย่นระยะทางเศรษฐกิจในอาเซียนลงอย่างมีนัยสำคัญ!!??
จุดนี้ คือ “คานงัด” ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายเล็ก สามารถยื่นมือไปหาลูกค้าต่างประเทศได้ด้วยต้นทุนที่ลดลง
กระนั้น ความสำเร็จจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อ รัฐเดินหน้ามาตรฐานข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และกติกาการคุ้มครองผู้บริโภคที่เทียบเท่าสากล พร้อมทำให้ กฎระเบียบ “ง่าย เร็ว ใส” จริง ไม่ใช่เพียงคำประกาศบนเวที
และเพื่อทำให้สะพานนี้ ได้มี “เสาเข็มความเชื่อมั่น” ที่แข็งแรง รัฐบาลจึงได้ ประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี 2573
นำไปสู่…การยกระดับธรรมาภิบาล การกำกับดูแลดิจิทัล และความโปร่งใสของภาครัฐ
เหล่านี้…ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็นเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่จะ “ปลดล็อก!” การลงทุนและผลิตภาพทั้งระบบ การลดขั้นตอนราชการ การเปิดเผยข้อมูล และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอหน้า…
ทั้งหมดคือ บทพิสูจน์ที่โลกกำลังจับตา!
หากไทยเดินแผนปฏิรูปอย่างต่อเนื่องและวัดผลได้จริง เสาเข็มของสะพานเศรษฐกิจ ก็จะลึกพอที่จะรองรับน้ำหนักของห่วงโซ่อุปทานและเงินทุนที่กำลังเปลี่ยนทิศในภูมิภาค
แกนสุดท้าย “Beyond” คือ การมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าพรมแดนเดิม นายกรัฐมนตรีไทย ระบุชัด! ถึงการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Tesla, BYD, Foxconn, Google Cloud, Amazon Web Services, Huawei Cloud และ Microsoft…
ทั้งนี้เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศ พร้อมลงทุนในโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรร้อยละ 85 ระบบ Digital ID และโครงสร้างพื้นฐานสื่อสารระดับภูมิภาค เช่น สายเคเบิลใต้น้ำเพื่อเชื่อมไทยกับศูนย์กลางข้อมูลในเอเชีย
ทั้งหมดนี้ จะถูกสร้างเป็น “ทางด่วนข้อมูล” เพื่อ “ต่อยอด” เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ตั้งแต่…ยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอัจฉริยะ ไปจนถึง บริการคลาวด์ และ AI ที่ ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
แต่การจะก้าวสู่ “แนวหน้า” อย่างยั่งยืน ประเทศไทยจะต้องทำ “สีของการเติบโต” ให้ถูกต้อง นั่นคือ…สีเขียว???
ดังนั้น รัฐบาลไทย…จึงเดินหน้าตลาดคาร์บอน เกษตรยั่งยืน และกลไกการเงินสีเขียวเพื่อขับเคลื่อนสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 พร้อม สนับสนุนการลงทุนของเอกชนไทยอย่าง PTT และ SCG ในไฮโดรเจนสีเขียวและวัสดุคาร์บอนต่ำ ตลอดจน การขยายระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าโดยพันธมิตรระดับโลก อย่าง BMW และ Toyota
หากสามารถจะ….เชื่อมวงจรนโยบาย แรงจูงใจสีเขียว มาตรฐานการวัดคาร์บอน และการเข้าถึงเงินทุน ให้ครบถ้วน!
ประเทศไทยย่อมแปลง “ความยั่งยืน” จากคำสวยให้เป็น “ข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน” ที่จับต้องได้
นอกเหนือจาก เศรษฐกิจฐานอุตสาหกรรม แล้ว รัฐบาลไทย ยังหยิบเรื่อง “Soft Power” มาผูกเข้ากับยุทธศาสตร์สะพาน โดยอาศัย…ความนิยมวัฒนธรรมเกาหลีในไทย เป็น แรงบันดาลใจในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านคอนเทนต์ การพัฒนาสตาร์ตอัป และ SME เชิงสร้างสรรค์
นายอนุทิน ย้ำว่า…การหารือ “ทวิภาคี” กับ ประธานาธิบดีอี แช มย็อง สะท้อนความร่วมมือที่ไปไกลกว่าตัวเลขการค้า แต่ยัง…ครอบคลุมแรงงานถูกกฎหมาย การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
หากประเทศไทยสามารถจะ “ต่อยอด” สถาปัตยกรรมความร่วมมือในระดับนโยบาย เช่น ข้อตกลงยอมรับร่วมด้านทักษะดิจิทัล โครงการทุนร่วมผลิตคอนเทนต์ระดับภูมิภาค หรือ Sandbox กฎเกณฑ์สำหรับฟินเทคและมีเดีย
นั่นก็เท่ากับ…การวาง “ชั้นคานใหม่” ให้สะพาน ขยายหน้าที่จาก “ขนส่งสินค้า” ไปสู่ “ขนส่งคุณค่า”
ขณะเดียวกัน การเลือกยืนในบทบาท “ผู้เชื่อม” ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ!!!
ย่อมต้องการสมดุลและความนิ่งทางยุทธศาสตร์
ดังนั้น ประเทศไทย จึงต้องพิสูจน์ว่า…ความเปิดกว้างต่อการลงทุนและเทคโนโลยีระดับโลกสามารถเดินคู่กับการคุ้มครองความมั่นคงทางดิจิทัลและผลประโยชน์สาธารณะได้จริง
การกำหนดมาตรฐานข้อมูล การคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และการรับมืออาชญากรรมไซเบอร์กับการหลอกลวงออนไลน์...จึงเป็น แนวป้องกันด่านหน้า!!!
หากด่านหน้าแข็งแรง…ความเชื่อมั่นย่อมหลั่งไหล และสะพานจะไม่ใช่แค่ “ทางผ่านชั่วคราว” แต่เป็นโครงสร้างถาวรของภูมิภาค!!!
ทว่า สะพานทุกแห่งจะมั่นคงได้ ต้องวัดจาก “ฐานราก” ภายในประเทศ!!??
บทเรียนของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เตือนให้เห็นว่า…ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โครงสร้างราชการซับซ้อน และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็น “แรงเฉือน” ที่ทำให้สะพานสึกกร่อนจากข้างใน
หากรัฐบาลไทย…สามารถ “ผูกแพ็กเกจ” นโยบายของรัฐ เพื่อให้ตอบโจทย์ฐานรากได้…
ตั้งแต่ ปรับทักษะแรงงานให้ตรงกับอุตสาหกรรมอนาคต ปรับโครงสร้างหนี้อย่างมีวินัย สร้างแรงจูงใจให้ SMEs เข้าสู่ระบบภาษีแลกกับการเข้าถึงทุนราคาถูก และยกระดับโรงเรียนอาชีวะ–มหาวิทยาลัยให้เป็น “สถานีบริการทักษะ” ที่ทันสมัย ได้
ฐานรากนี้…ก็จะแข็งแรง และแบกรับน้ำหนักของ “การเชื่อมโยงภายนอก” ได้อย่างมั่นคง!!!
ทางออกเชิงกลยุทธ์…จึงไม่ใช่การทุ่มทุนสร้าง “เมกะโปรเจกต์” อย่างโดด ๆ แต่คือ การ “เย็บชิ้นส่วน” ของนโยบาย…ให้ติดกันเป็นผืนเดียว!!!
เชื่อมทักษะกับงาน เชื่อมทุนกับกติกาที่โปร่งใส เชื่อมดิจิทัลกับความปลอดภัย เชื่อมสีเขียวกับความสามารถแข่งขัน และเชื่อมภูมิรัฐศาสตร์กับผลประโยชน์ประชาชน
ถ้าทำได้…สะพานของประเทศไทย จะไม่เพียงเชื่อมฝั่งต่อฝั่ง แต่จะเชื่อม “วันนี้กับอนาคต” ให้ประชาชนเดินไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง!!!
ท้ายที่สุด สิ่งที่ นายกรัฐมนตรีของไทย ได้กล่าวทิ้งบนเวทีที่เมืองคยองจู นั่นคือ…
“ความมั่งคั่งที่ทุกคนเข้าถึงและแบ่งปันได้ คือ…ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน”
สิ่งนี้…คือ มาตรวัดความสำเร็จที่ชัดเจนกว่า GDP หรือจำนวนข้อตกลงความร่วมมือ
โดยหากเมื่อ มองย้อนกลับมาจากปี 2573??? ประเทศไทย…สามารถยืนอยู่ในวงของประเทศที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส มีแรงงานที่มีทักษะสอดรับเศรษฐกิจใหม่ ภาคธุรกิจ…โดยเฉพาะ SME ได้เข้าถึงโอกาสในภูมิภาค และการเติบโตในแบบ “ธุรกิจสีเขียว” เป็นเงาเคียงข้าง…
สะพานที่สร้างวันนี้…ย่อมไม่ใช่เพียง “สัญลักษณ์” แต่เป็น “สาธารณูปโภคเชิงยุทธศาสตร์” ของเอเชีย–แปซิฟิก ซึ่งประเทศไทย…เป็นวิศวกร ร่วมออกแบบและดูแลให้มั่นคงยาวนาน!!!
ภาพของวันนั้น…เริ่มต้นแล้วในวันนี้ ณ เมืองคยองจู เกาหลีใต้???
ท่ามกลาง…เสียงปรบมือและการรายล้อมพูดคุย ถ่ายภาพของภาคเอกชนไทยและต่างชาติ นั้น
แต่ทว่า…งานจริงเพิ่งเริ่มบนฝั่งของเรา (ประเทศไทย) กับการตอกเสาเข็มให้ลึก ปรับกติกาให้โปร่งใส เชื่อมเศรษฐกิจดิจิทัลให้ปลอดภัย และ พาคนทั้งสังคมไทย…ข้ามสะพานไปพร้อมกัน
สิ่งนี้ต่างหาก คือ บทพิสูจน์ของคำว่า “สะพาน” ของประเทศไทย ที่จะกลายเป็นความจริง และจับต้องได้!!! สำหรับประชาชน
และจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง! ต่อภูมิภาคเอเปคทั้งมวล!!??.

 
                                            
 
																				 
																				



