ชักศึกเข้าบ้าน???


ปธน.ทรัมป์ และสหรัฐฯ รุกหนักไทย! รอบนี้ เรียกว่า…คนไทยไม่ทันตั้งตัว? ใครจะคิด “แรร์เอิร์ธ” ตัวปัญหาระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ จะกลายเป็น…แร่อาถรรพณ์ ที่ลากเอาประเทศไทย ต้องเข้าไปเล่นในบทที่ต้องแบกรับ “แรงบีบ” อันมหาศาล? การที่ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่บอกให้คนไทยได้รู้ตัวก่อน ก็อย่าหาทำ “ชักศึกเข้าบ้าน” ก็แล้วกัน
นายกรัฐมนตรีรู้! คณะรัฐมนตรีรู้! รัฐบาลรู้! แต่ประชาชนคนไทยกลับไม่รู้???
รู้ในประเด็น… MOU แรร์เอิร์ธ ที่ รัฐบาลไทย ทำไว้กับ รัฐบาลสหรัฐฯ กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา
แรร์เอิร์ธ กลุ่มแร่หายาก…ที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ “สหรัฐฯ VS จีน” และกำลังจะสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลไทยและประเทศไทย
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการกึ่งสื่อจากค่ายสื่อผู้จัดการ ระบุว่า…การกระทำของ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่ต่างจากการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ซึ่งถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง! ขณะที่ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช จากคณะก้าวหน้า มองว่า…เมื่อรัฐบาลไทยเปิดช่องให้ รัฐบาลสหรัฐฯเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกลุ่มแร่หายากในไทย แล้วจะห้ามไม่ให้ รัฐบาลจีน เข้ามาได้อย่างไร?
ด้าน “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่า…จีนเอง ถือครองสัดส่วนแรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก ไม่ต่ำกว่า 80% ขณะที่ไทยเอง หากจะมีกลุ่มแร่หายากที่ว่านี้…สัดส่วนคงน้อยมากแค่ 3% กระนั้น เรื่องนี้…มันเกี่ยวข้องกับ ประเด็น “ภูมิรัฐศาสตร์” จำเป็นที่รัฐบาลจีน…ต้องเข้ามาคานอำนาจสหรัฐฯในไทยและอีกหลายชาติในอาเซียน
สอดรับกับปมที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ให้สัมภาษณ์ในทำนอง…รัฐบาลจีนได้ประสานมาแล้ว และตรงกับที่ น.ส.พรรณิการณ์ คาดการณ์ไว้…
ประเด็นคือ บทบาทของรัฐบาลไทยจากนี้จะเป็นอย่างไร? กับข้อกล่าวหา “ชักศึกเข้าบ้าน” ของ นายปานเทพ มีน้ำหนักความเป็นจริงแค่ไหน? เราลองมาวิเคราะห์กัน…แรร์เอิร์ธคืออะไร? ทำไมถึงสร้างปัญหาในระดับโลก?
“แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth Elements — REEs) คือ กลุ่มแร่โลหะ 17 ชนิด ที่มีคุณสมบัติพิเศษในทางเคมีและแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้มีความจำเป็นต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่เกือบทุกประเภท เช่น รถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์ อุปกรณ์การแพทย์ กังหันลม อาวุธอัจฉริยะ และชิ้นส่วนของอุปกรณ์อวกาศ (ระบบเลเซอร์ เรดาร์ และดาวเทียม)
แม้ชื่อจะว่า “หายาก” (rare) แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ได้หายากในธรรมชาติ เพียงแต่ “แยกสกัดได้ยาก!!!” เพราะมักกระจายตัวปนอยู่ในหินหลายชนิดและมีองค์ประกอบคล้ายกันมาก
“แรร์เอิร์ธ” แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มเบา (Light Rare Earths – LREEs) เช่น ลานทานัม (La), เซเรียม (Ce), นีโอดิเมียม (Nd), พราเซโอดิเมียม (Pr) และ กลุ่มหนัก (Heavy Rare Earths – HREEs) เช่น ดิสโพรเซียม (Dy), เทอร์เบียม (Tb), อิทเทอร์เบียม (Yb), อิทเทรียม (Y)
กลุ่มเบา…มีมากกว่า แต่ กลุ่มหนัก…มีมูลค่าสูงกว่า เพราะหาได้ยากและมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ชิ้นส่วนอาวุธ หรือมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง
การปรากฏตัวของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มาเลเซียในครั้งนี้ แทบไม่มีคาดคิดว่า…จะมีบางเรื่อง??? สอดแทรก ระหว่างการผลักดันให้เกิด “ข้อตกลงสันติภาพ” ระหว่างไทยและกัมพูชา…
เอ็มโอยู…ด้าน “แร่ธาตุสำคัญ” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ถูกมองว่า…จะเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ในเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน แม้ “รัฐบาลอนุทิน” จะยืนยันว่า…เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น แต่เนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือด้านการสำรวจ แปรรูป และถ่ายทอดเทคโนโลยี ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ “Free and Open Indo-Pacific” (FOIP) ของวอชิงตัน ซึ่งมีเป้าหมายลดอิทธิพลจีนในห่วงโซ่เทคโนโลยีโลก
ถือเป็นการ…เปิดเกมรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหม่ ของทางการสหรัฐฯ ด้วยเป้าหมาย “ปลดและลดการพึ่งพาแร่แรร์เอิร์ธจากจีน” หลังจาก ปักกิ่งครองห่วงโซ่การผลิตกว่า 80% ของโลกมานานหลายทศวรรษ
“รัฐบาลวอชิงตัน” มองว่า…แร่กลุ่มนี้ คือหั วใจของเทคโนโลยีอนาคต ตั้งแต่พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบอาวุธขั้นสูง
การปิดล้อมเชิงเทคโนโลยี จึงเริ่มขึ้นอย่างเงียบ! แต่เฉียบขาด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…กลายเป็น แนวรบใหม่ใน “สงครามแรร์เอิร์ธ” ที่กำลังปะทุขึ้นกลางศตวรรษที่ 21
ไทย คือ หนึ่งในประเทศแรกที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานนี้ แม้เอกสารฉบับนี้…จะยังไม่ผูกพันทางกฎหมาย แต่เนื้อหาที่มี (ข้างต้น) มันเหมือนจะ มุ่งสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจเปิด ลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก
รายงานจาก USGS และ World Population Review ระบุว่า ไทยมีศักยภาพในการผลิตแร่แรร์เอิร์ธราว 13,000 ตันต่อปี อยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก หลายพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และชุมพร ถูกระบุว่ามีศักยภาพสูงในการสำรวจเชิงพาณิชย์ ขณะที่ กรมทรัพยากรธรณี เอง ก็กำลัง เร่งศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ หากพัฒนาเป็นเหมืองหรือโรงแปรรูปจริง
ขณะที่ รัฐบาลไทย ประกาศเดินหน้า เสียงเตือนจากนักวิชาการและภาคสังคมเริ่มดังขึ้น โดยเฉพาะ ประเด็นที่ข้อตกลงนี้…อาจเป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ได้ นั่นเพราะ…ไทยกำลังเข้าไปอยู่ในสนามแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของ 2 มหาอำนาจ โดยไม่ทันตั้งหลัก
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตั้งข้อสังเกตว่า…รัฐบาลยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของ MOU ให้สาธารณะทราบอย่างโปร่งใส และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ยังไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียอำนาจต่อรองในอนาคต
พร้อมกับเตือนว่า การเลือกข้างโดยไม่ระมัดระวังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ทั้งด้านการส่งออกสินค้าเกษตร การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ จีนมองแร่แรร์เอิร์ธว่าเป็น “ทรัพยากรความมั่นคงของชาติ” และหากไทยเข้าไปอยู่ใน เครือข่ายซัพพลายของสหรัฐฯ โดยไม่กำหนดเงื่อนไขอย่างรอบคอบ รัฐบาลปักกิ่ง อาจตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ หรือชะลอความร่วมมือในโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่ไทยพึ่งพาอยู่
ประสบการณ์จากหลายประเทศ…ที่เข้าสู่ ห่วงโซ่แรร์เอิร์ธ…โดยไม่ได้เตรียมโครงสร้างกำกับชัดเจน มักลงเอยด้วย…ปัญหาสิ่งแวดล้อม ความขัดแย้งในชุมชน และการสูญเสียสิทธิประโยชน์ต่อรัฐ
ดังนั้น รัฐบาลไทย จึงจำเป็นต้องกำหนด “กรอบนโยบายแร่แห่งชาติ” ที่เน้นการ สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศมากกว่าการส่งออกวัตถุดิบ และ ต้องมีมาตรฐาน ESG รวมถึง ระบบ traceability ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ตามกติกาสากล
ในเชิงยุทธศาสตร์…ไทยควรยืนอยู่บนแนวทาง “กระจายความเสี่ยง ไม่ใช่ตัดขาด” ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในโครงการเทคโนโลยีสะอาดและการรีไซเคิล
ขณะเดียวกัน ก็ต้อง “เปิดพื้นที่” ให้จีนเข้ามามีบทบาทในโครงการพลเรือน เช่น พลังงานหมุนเวียน โลจิสติกส์ในประเทศ และการวิจัยสาธารณะ
กระนั้น ก็จะต้อง วาง “การ์ดเรล” หมายถึง…การวางขอบเขตป้องกันไม่ให้การดำเนินนโยบาย หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ก้าวล้ำเส้น…ไปสู่พื้นที่เสี่ยงต่อความมั่นคง หรือกระทบต่ออธิปไตยของรัฐ!!! ที่ชัดเจน
ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลไทยได้ควบคุมข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และถือหุ้นนำในกิจการสำคัญ
อีกทั้ง รัฐบาลไทย ยังต้องสร้างกลไกตรวจสอบสังคมในพื้นที่ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตั้งแต่…การสำรวจจนถึงการผลิต รวมถึง จัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต
การสื่อสารต่อสังคมระหว่างประเทศ ต้องชัดเจนว่า… ประเทศไทยไม่ได้เลือกข้าง แต่กำลังร่วมสร้าง “เสถียรภาพของซัพพลายโลก” ภายใต้หลักผลประโยชน์แห่งชาติ
ในระยะยาว หาก รัฐบาลไทย…สามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาส พัฒนาเทคโนโลยีแปรรูป แม่เหล็กถาวร และการรีไซเคิลในประเทศได้จริง ไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของอาเซียนในห่วงโซ่แรร์เอิร์ธโลก
แต่หากเดินเกมการเมืองระหว่างพลาด!!! ปล่อยให้ ต่างชาติ “ถือสิทธิ์” เหนือทรัพยากร ล่ะก็ ประเทศไทย…อาจสูญเสียทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสมดุลทางการทูตไปพร้อมกัน
“แรร์เอิร์ธ”…จึงไม่ใช่เพียงของหายากในดิน แต่คือ “บททดสอบแห่งยุทธศาสตร์ชาติ” ที่ รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน จะต้องตอบให้ได้ว่า… จะนำพาประเทศไทย ก้าวเดินบนเส้นทางระหว่างมหาอำนาจอย่างไร? เพื่อรักษาความมั่นคง เศรษฐกิจ และศักดิ์ศรีแห่งอธิปไตยของประเทศ
โดยไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใคร!!!
ที่สำคัญ…จะต้องไม่กระทำการที่อาจเข้าข่าย “ชักศึกเข้าบ้าน!” อย่างเด็ดขาด…เราเตือนคุณแล้วนะ!!??.






