รุกคืบ!!!

จากนี้ไป…ทั้งไทยและอาเซียน จะไม่สงบอีกต่อไป!!?? ดินแดนแห่งนี้…จะกลายเป็นเวทีการเมืองระหว่างประเทศของ 2 ชาติมหาอำนาจ “สหรัฐอเมริกา – จีน” ในทุกมิติ…
ดูเผินๆ พิธีลงนามถ้อยแถลงผลการหารือ ระหว่าง…นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่เรื่องของไทยและประเทศข้างบ้าน???
แต่มันเหมือน “สัญลักษณ์” การรุกคืบของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อลดทอนบทบาทและอิทธิพลของทางการจีนในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เข้าอย่างจัง!!!
ข้อตกลงของ 2 ประเทศ อยู่ภายใต้สายตาของ “ผู้นำชาติมหาอำนาจ” อย่าง… นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่า…งานนี้ “เจ้าภาพ” ในฐานะ “ประธานอาเซียน” อย่าง…ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ย่อมได้หน้าไปเต็มๆ
แถมยังจะได้ สหรัฐฯ มาเป็นพันธมิตร ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และความมั่นคง ในห้วงที่ มาเลเซียเอง ก็มีปัญหากับเพื่อนบ้าง โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย ที่มีไทยเป็นพันธมิตรใกล้ชิด
ปัญหาในอดีต…ที่รัฐบาลมาเลเซีย เคยยืนในฝั่งตรงข้ามกับสหรัฐฯ ปมข้อพิพาท “อิสราเอล – ปาเลสไตน์”
วันนี้…มลายหายสิ้น! ผลประโยชน์ของชาติตัวเอง ย่อมสำคัญกว่าทุกเรื่อง…
ทั่วโลกมองปรากฏการณ์ “การทูตเพื่อสันติภาพ” ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ถูกจัดฉากขึ้นเพราะ “สหรัฐฯ – มาเลเซีย” โดยที่รอบนี้…ตัดจีนออกไป!!??
แท้จริงแล้ว…มันคือการ “ขยับหมาก” ทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คอยวางเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างมีชั้นเชิง!!!
ก่อนหน้านี้ ก็ร่วมกับ สหราชอาณาจักร จัดการ “เจ้าพ่อสแกมฯ” นาย”เฉิน จื้อ “จีนเทาสัญชาติอังกฤษและกัมพูชา” แห่ง ปริ้นซ์ กรุ๊ป ด้วยการ ยึดทรัพย์สิน ส่วนใหญ่เป็น…คริปโตเคอเรนซี สกุล “บิทคอยน์” รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ในเกาะอังกฤษ รวมกันมากกว่า 5 แสนล้านบาท
แถมยังสนับสนุนให้ ทางการเกาหลีใต้ เร่งจัดการปัญหาสแกมเมอร์ ธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะขบวนการค้ามนุษย์ ในกัมพูชา แบบสะใจคนทั้งโลก
นี่คือการ “ตีกิน” รุกคืบมาก่อนหน้านี้แล้ว
รอบนี้…ยังได้สิทธิ์ “จัดฉาก” ยุติสงครามไทย-กัมพูชา ปูทางรุกต่อไปยังภารกิจอื่นๆ ในเชิงยุทธศาสตร์…
คำกล่าวอ้างของ ปธน.ทรัมป์ ที่ระบุก่อนเดินทางมายังมาเลเซีย ว่า…“หากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงปล่อยให้มีความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะถูกจีนแทรกแซงอย่างง่ายดาย”
ถ้อยคำดังกล่าว ไม่เพียง…ชี้เป้าหมายของสหรัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพภูมิภาค แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาที่จะจำกัดอิทธิพลของจีนอย่างชัดเจน
การมาของ ปธน.ทรัมป์ เกิดขึ้นพร้อมกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ซึ่งมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้าร่วมเวทีอาเซียนอย่างเป็นทางการ และใช้เวที…นี้ประกาศ “ความร่วมมือด้านการค้าและความมั่นคง” กับหลายประเทศในภูมิภาค
โดยเฉพาะ ไทย กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งถูกมองว่า…เป็น “จุดยุทธศาสตร์สำคัญ” ของพื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ที่ได้เข้ามาแผ่อิทธิพลในดินแดนของ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา อยู่ก่อนแล้ว…
สื่อระดับโลกอย่าง Reuters และ Politico รายงานตรงกันว่า…การเดินทางครั้งนี้ของ ปธน.ทรัมป์ มีเป้าหมายซ่อนอยู่ คือ การฟื้นยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” (Free and Open Indo-Pacific : FOIP) ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากซบเซาในยุคก่อนหน้า
ตามแนวคิด FOIP ที่ประกาศตั้งแต่สมัย ปธน.ทรัมป์ ในวาระแรก (ค.ศ. 2017–2021) โดยที่ รัฐบาลสหรัฐฯมุ่งหมายสร้างภูมิภาคที่ “เสรี เปิดกว้าง และต่อต้านการครอบงำจากอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” ซึ่งใน บริบทเอเชีย…ย่อมหมายถึง “จีน” โดยตรง
การที่ ปธน.ทรัมป์ กลับมาสู่เวทีนี้ พร้อมการ ลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา จึงเป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ว่า… สหรัฐฯยังมีศักยภาพและความตั้งใจจะคงบทบาทในภูมิภาคนี้ และจะไม่ปล่อยให้ปักกิ่งขยายอิทธิพลอย่างอิสระ
ภายหลังพิธีลงนาม นายกฯอนุทิน กล่าวผ่านผู้สื่อข่าวว่า… “บรรยากาศการเจรจาเป็นไปด้วยดี ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าความสูญเสียของประชาชนไม่คุ้มค่ากับการถืออาวุธ”
พร้อมเปิดเผยว่า…ตนได้ใช้โอกาสนี้หารือกับ ปธน.ทรัมป์ เรื่องการค้าระหว่างสองประเทศ โดยไทยต้องการให้สหรัฐฯลดภาษีสินค้านำเข้า และเพิ่มโควตาสินค้าเกษตร เพื่อสะท้อนความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ไทยให้กับสหรัฐฯมาโดยตลอด
ประโยคนี้…ถูก นักวิเคราะห์ ตีความว่า…ไทยกำลังใช้ “สันติภาพชายแดน” เป็นใบเบิกทางสู่ “สันติภาพทางการค้า” กับมหาอำนาจ???
ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ เอง ได้ให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว AP ว่า “นี่คือจุดเริ่มต้นของความร่วมมือครั้งใหม่ในภูมิภาคที่สำคัญที่สุดของโลก” และเขายังกล่าวย้ำว่า…สหรัฐฯจะให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการป้องกันการขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา “จุดยุทธศาสตร์หลัก” ที่เชื่อมการค้าโลกกว่า 60 เปอร์เซ็นต์
แหล่งข่าวจาก Carnegie Endowment for International Peace ระบุว่า…นโยบายใหม่นี้ของสหรัฐฯจะมุ่ง “ผูกเศรษฐกิจเข้ากับความมั่นคง” โดยใช้ ข้อตกลงการค้าเป็นเครื่องมือควบคุมการเคลื่อนไหวของประเทศในภูมิภาค เช่น การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ไม่พึ่งพาจีน และการลงทุนในแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
ทั้งหมดนี้…สะท้อนวิธีการใหม่ของสหรัฐฯที่เน้นการ “ครอบงำเชิงเครือข่าย” มากกว่าการครอบงำทางทหารเหมือนในอดีต!!!
ภายใต้กรอบนี้ มาเลเซีย…ในฐานะ “เจ้าภาพ” ได้กลายเป็น…ตัวแสดงสำคัญ โดยเฉพาะ ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ได้กล่าวขณะต้อนรับ ปธน.ทรัมป์ ว่า…
“อาเซียนกำลังเผชิญยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง สหรัฐฯมีบทบาทที่จะทำให้ภูมิภาคนี้มั่นคงขึ้น และไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
ถ้อยคำดังกล่าวถูก สื่อมาเลเซีย วิเคราะห์ว่าเป็น “สัญญาณจับมือ” ระหว่างมาเลเซียและสหรัฐฯ ในขณะที่ ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง…อินโดนีเซีย ยังคงเลือกท่าทีระมัดระวังต่อความสัมพันธ์กับวอชิงตัน
มีรายงานจากสื่อชั้นนำของอาเซียน ชี้ว่า…มาเลเซียเองกำลังเผชิญแรงกดดันภายในจากปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและความขัดแย้งชายแดนกับอินโดนีเซีย ดังนั้น การมี สหรัฐฯเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ จึงเป็นการ “เสริมเกราะทางการทูต” ที่ช่วยให้ มาเลเซีย…สามารถรักษาสมดุลระหว่างอาเซียน จีน และตะวันตก ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การขยับเข้ามาของสหรัฐฯ ก็ถูกมองว่าเป็นการ “ลดอิทธิพลของจีน” อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะ ในประเทศที่จีนมีการลงทุนสูง เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งอยู่ใน เส้นทางยุทธศาสตร์ของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของปักกิ่ง
สื่อชั้นนำ อย่าง…South China Morning Post วิเคราะห์ว่า…การที่สหรัฐฯเข้ามาเป็นสักขีพยานในข้อตกลงไทย-กัมพูชา ถือเป็น “การแทรกตัวทางการทูต” เพื่อขัดขวางการขยายตัวของจีนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จีนใช้สร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจมายาวนาน ผ่านการให้เงินกู้และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ในเชิง เศรษฐกิจ ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศในอาเซียน ที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมครั้งนี้ รวมถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยี การควบคุมการส่งออกสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ซึ่ง ทางการสหรัฐฯได้ประกาศมูลค่าการลงทุนใหม่ในภูมิภาคกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งจะอยู่ในมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม
โดยการลงทุนเหล่านี้ ถูกออกแบบให้สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจทางเลือกที่ไม่ต้องพึ่งจีน และทำให้สหรัฐฯกลับมาเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของอาเซียนอีกครั้ง!!!
อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนเป็นปีที่ 14 ติดต่อกัน รายงานจาก South China Morning Post เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า…การค้ารวมระหว่างจีนกับอาเซียนยังมีมูลค่ามากกว่าสหรัฐฯถึง 2 เท่า
ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า…แม้สหรัฐฯจะกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ แต่ก็ยังต้องแข่งขันกับอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่จีนปักหลักไว้อย่างเหนียวแน่น อย่างแน่นอน และคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ…
นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัย Lowy Institute ในออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า…“สหรัฐฯกำลังใช้ยุทธศาสตร์การสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบให้ประเทศในอาเซียนเลือกข้างโดยไม่พูดตรง ๆ”
ขณะที่ ชาติอาเซียน เอง ยังพยายามรักษาความเป็นกลางและความเป็นเอกภาพ แม้หลายประเทศในกลุ่มจะพึ่งพาการลงทุนจากจีน แต่ก็ไม่ปฏิเสธโอกาสจากสหรัฐฯในการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และความช่วยเหลือด้านความมั่นคง
สำหรับ ประเทศไทย การปรากฏตัวของ ปธน.ทรัมป์ และบทบาทของสหรัฐฯ ในข้อตกลงชายแดนกับกัมพูชา ทำให้…ไทยอยู่ในจุดศูนย์กลางของความสนใจระดับภูมิภาค
รัฐบาลไทยเอง พยายามวางตัวเป็น “ผู้ประสานสันติภาพ” มากกว่าผู้เลือกระหว่างมหาอำนาจ!!??
แต่ในทางปฏิบัติ…ไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้ง 2 ฝ่าย…จีนที่เป็นคู่ค้าหลัก และ สหรัฐฯที่เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง
ซึ่งทำให้ไทยต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาอิสระทางยุทธศาสตร์ของตัวเอง
ภายในเวทีการประชุมฯ นายกฯอนุทิน ย้ำว่า…“ไทยจะร่วมมือกับทุกฝ่ายบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมและสันติภาพในภูมิภาค” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่สอดคล้องกับแนวนโยบาย “ความเป็นกลางเชิงสร้างสรรค์” ของอาเซียน
แต่ก็เป็นคำประกาศที่แฝงแรงกดดัน! ไม่น้อยทีเดียว นั่นเพราะ…ทุกการเคลื่อนไหวของไทยในตอนนี้ ล้วนถูกจับตาจากทั้งวอชิงตันและปักกิ่ง แบบไม่กระพริบตา!!!
ในช่วงท้ายของ การประชุมสุดยอดอาเซียน “ผู้นำ” หลายประเทศได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงทางเศรษฐกิจและการค้าใหม่ ๆ ที่มีสหรัฐฯเป็นผู้ผลักดัน เช่น การปรับปรุงความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) และ การริเริ่มโครงการเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA)
ซึ่ง รัฐบาลวอชิงตัน ถือเป็น…พันธมิตรสำคัญในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค
ข้อตกลงเหล่านี้…อาจเป็นทั้ง “โอกาส” และ “กับดัก” หาก อาเซียนไม่สามารถรักษาความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมืองได้???
ในแง่ ภูมิรัฐศาสตร์ การมาของสหรัฐฯผ่านเวทีอาเซียนในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการปรากฏตัวเชิงสัญลักษณ์ หากแต่เป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระดับโลกที่มีเป้าหมายชัดเจนในการยึดพื้นที่คืนจากจีน
การลงนามข้อตกลงชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเพียง “หมากเปิดกระดาน” ในเกมยาว ที่ รัฐบาลสหรัฐฯหวังใช้ภูมิภาคนี้…เป็น “แนวกันชน” ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับอำนาจเอเชียตะวันออก (จีน)
อาเซียนในวันนี้…ไม่ได้เป็นแค่เพียง กลุ่มประเทศที่อยู่ระหว่าง “2 มหาอำนาจ” แต่กำลังกลายเป็น “สนามทดสอบ” ของสมดุลใหม่ในโลกหลายขั้ว
นาทีนี้…แม้ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจยังไม่สามารถ “ลดบทบาท” ของจีนได้ทั้งหมด แต่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า…พื้นที่ “อินโด-แปซิฟิก” นั้น หาได้เป็น “สนามหลังบ้านของจีน” อีกต่อไป…
และ สหรัฐฯ พร้อมแล้วที่จะรุกคืบให้มากกว่านี้!!!
น่าสนใจว่า…นับจากวันนี้เป็นต้นไป ทั้งอาเซียน และไทย จะวางกลเกม “รับมือ” การเคลื่อนไหวเชิงรุก! 2 ชาติมหาอำนาจต่างขั้วกันอย่างไร? สุดท้าย…สิ่งนี้ มันคือ ปัญหาหรือโอกาส เป็นผลบวกหรือผลลบ! กันแน่!!??.






