บทบาทไทย ใต้ ‘แรงบีบ’ ของสหรัฐฯ


เซ็นสัญญาสันติภาพกันไปแล้ว..2 ผู้นำไทย-กัมพูชา ภายใต้ฉากที่ สหรัฐฯและมาเลเซีย จัดขึ้น! แรงบีบจากมหาอำนาจรอบใหม่นี้ อาจทำให้ไทย ภายใต้การนำของ “นายกฯอนุทิน” ต้องบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างสุขุมมากยิ่งขึ้น เส้นแบ่งระหว่าง “การธำรงสันติภาพ” กับ “การรักษาอิสระทางยุทธศาสตร์” จึงไม่เพียงสะท้อนทิศทางสันติภาพ แต่ยังเปิดฉากบททดสอบบทบาทใหม่ของไทยในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก

เรียบร้อยโรงเรียนสหรัฐฯ??? สำหรับ…การประชุมสุดยอดผู้นำไทย–กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (26 ต.ค.2568) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ สร้างสันติภาพของ 2 ประเทศ โดยมี ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะ “ประธานอาเซียน”…เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ และมี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็น “โปรโมเตอร์” จัดงานนี้ ขึ้นมา…
และทั้ง 2 คนยังสวมบทบาท…ร่วมเป็น “สักขีพยาน”…
วลีข้างต้น…แม้จะเป็นสำนวนเก่าๆ แต่ผลของมัน…สะเทือนไม่เฉพาะคู่กรณี “ไทย-กัมพูชา” หากยังกระทบไปทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมถึงจีน ที่กำลังขยายบทบาทและอิทธิพลของตัวเองลงมาทางใต้ ผ่าน…สปป.ลาว และกัมพูชา
ทั่วโลกต่างเฝ้าจับตา…บรรยากาศทางการทูต ที่อาจนำไปสู่ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ หลังจากที่…นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ของไทย และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี กัมพูชา ร่วมลงนามในถ้อยแถลงผลการหารือว่าด้วยแนวทางสู่สันติภาพต่อกัน
การลงนามในครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นตลอดช่วงกลางปี 2568 ซึ่งสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา เหตุปะทะดังกล่าวทำให้ชุมชนชายแดนกว่า 2,000 ครัวเรือนต้องอพยพออกจากพื้นที่ และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอาเซียนในฐานะประชาคมแห่งสันติภาพ

นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวภายหลังพิธีลงนามว่า “บรรยากาศการเจรจาเป็นไปด้วยดี ไทยและกัมพูชาต่างยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแนวทางข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ความขัดแย้งลดระดับลงและไม่ขยายผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย”
พร้อมย้ำว่า…สันติภาพย่อมมีคุณค่ามากกว่าการสูญเสียที่ไม่อาจชดเชยได้
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีบทบาทเป็น “ผู้ผลักดัน” ให้เกิดการเจรจาครั้งนี้ กล่าวแสดงความยินดีต่อการลงนาม โดยระบุว่า…สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนทุกความพยายามของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มุ่งสู่สันติภาพ พร้อมเรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง เพื่อลดความตึงเครียดในภูมิภาค อินโด-แปซิฟิก
มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศแห่งนึ่ง ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายหลายครั้ง โดยเตือนว่า…หากความรุนแรงบริเวณชายแดนยังไม่ยุติ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทยและกัมพูชา อาจได้รับผลกระทบ
ซึ่งนั่น…ก็ไม่ต่างจาก “แรงกดดันทางเศรษฐกิจ” ที่มีน้ำหนักอย่างมาก ในช่วงที่หลายประเทศกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวทั่วโลก

นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวอีกว่า นอกจากการหารือเรื่องความมั่นคง ยังได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้า โดยขอให้สหรัฐฯ พิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม เพื่อสะท้อนถึงการที่ประเทศไทยให้ความร่วมมือกับนโยบายของสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการหารือกับ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ต่อไป
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 กล่าวในพิธีเปิดว่า…ขอชื่นชม “ผู้นำไทย” (นายอนุทิน) ในฐานะ “ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และกล้าหาญ” ในการผลักดันสันติภาพชายแดนด้วยวิถีทางการทูต จนสามารถนำไปสู่การลงนามถ้อยแถลงร่วมในวันนี้ และเห็นว่า…การเจรจาครั้งนี้เป็นตัวอย่างของ “สันติวิธีแบบอาเซียน” ที่สามารถสร้างผลลัพธ์เป็นรูปธรรมให้แก่ภูมิภาค
นอกจากประเด็นชายแดน นายกฯอนุทิน ยังได้แสดงท่าทีใน เวทีอาเซียน อย่างชัดเจน โดยย้ำว่า…อาเซียนจะยังคงเป็น “เสาหลัก” ของนโยบายต่างประเทศไทย และไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก เพื่อผลักดันผลประโยชน์ที่แท้จริงให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ระบุถึง 3 แนวทางหลักของไทยในเวทีภูมิภาค คือ 1.การสร้างประชาคมอาเซียนที่มั่นคงปลอดภัย 2.การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ 3.การขับเคลื่อนพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ รัฐบาลไทยยังพร้อมสนับสนุน ติมอร์-เลสเต ในฐานะสมาชิกใหม่ของอาเซียน และสนับสนุน ฟิลิปปินส์ ในการเป็นเจ้าภาพอาเซียนปี 2569 เพื่อร่วมขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045” ให้เกิดผลจริงในทุกมิติ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางคำชื่นชมจากหลายฝ่าย นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ มองในมุมที่ต่างออกไปว่า…ไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค???
การที่ สหรัฐฯ ส่งสัญญาณทางการค้าและใช้เวทีระหว่างประเทศในการโน้มน้าวให้ไทยดำเนินตามแนวทางสันติภาพ ถือเป็น ตัวอย่าง ของ “แรงบีบเชิงนโยบาย” ที่ รัฐบาลไทยจะต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เสียสมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ กับความสัมพันธ์ทางการทูตกับมหาอำนาจ โดยเฉพาะ จีน
ขณะที่ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบางราย ให้ความเห็นว่า…“บทบาทของไทยในครั้งนี้ อยู่ในจุดกึ่งกลาง ระหว่าง…การเป็นผู้รักษาเสถียรภาพของอาเซียน และ การตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการผลักดันยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของตน”
โดยชี้ว่า…ไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสจากการเป็นคู่เจรจากับมหาอำนาจ เพื่อเสริมอำนาจต่อรองของตนเองในด้านเศรษฐกิจ และไม่ให้สูญเสียความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว
แม้จะยังมีความท้าทายหลายด้าน แต่การ ลงนามในถ้อยแถลงไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น “สัญญาณบวก” ต่อความสงบในภูมิภาค และสะท้อนให้เห็นว่า…ประเทศไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในการธำรงเสถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แรงบีบและแรงชี้นำจากสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อนาคตของบทบาทไทย ในเวทีระหว่างประเทศ จึงขึ้นอยู่กับ…ความสามารถของรัฐบาลในการรักษาสมดุล ระหว่าง…การตอบสนองต่อแรงกดดันจากภายนอก และ การยืนหยัดบนผลประโยชน์ของประเทศ
พร้อมการ ขับเคลื่อนอาเซียนให้ก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานของสันติภาพ และความร่วมมือที่เท่าเทียม กัน.






