คนได้รับ ‘แจกเงินหมื่น’ (เฟส 2/ผู้สูงอายุ) ยิ้มถ้วนหน้า – ส่วนที่ยังไม่ได้รับ…คงต้องลุ้นกันต่อไป

คนวัย 60 ปีอัพ! ราว 3 ล้านคนเศษ คงดีใจกันถ้วนหน้า ตามปรัชญาการเมืองเฉพาะหน้า ที่ “รัฐบาลแพทองธาร” สร้างภาพในชื่อโครงการ “สูงวัยชื่นมื่น เงินหมื่นถ้วนหน้า

การกดปุ่มเปิดโครงการที่ว่านี้ ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานในงานเปิดตัว แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ เมื่อช่วงสายวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล กับความเชื่อที่ว่า…

เม็ดเงินราว 30,200 บาท ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ส่งผ่านไปยังบัญชีธนาคารต่างๆ ที่ผูกไว้กับ “พร้อมเพย์” ของผู้สูงวัยแต่ละคน จะทำให้คนกลุ่มนี้ ทำการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน และ/หรือ พ่วงไปกับการต่อยอดนำเงินไปลงทุนค้าขายเล็กๆ กระทั่ง สามารถจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้บ้าง

นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการเปิดตัวโครงการฯ ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลนี้เน้นย้ำว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลทำมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยมากเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมีการมอบเงิน 10,000 บาทให้กับประชาชนกว่า 14.45 ล้านคน ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในเฟสแรก และวันนี้ (27) เป็นเฟสสองของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การแจกเงินหมื่นให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ประชาชนรอคอย

โดยครั้งที่แล้ว ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เกิดการใช้สอยมากมายทำให้เศรษฐกิจได้รับการกระตุ้น โดยบางคนนำเงินมารวมกันในครอบครัว ต่อยอดธุรกิจหารายได้เพิ่มขึ้น ถือเป็นความสำเร็จรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจไป 1 รอบ และรอบนี้เป็นรอบที่ 2 ซึ่งวันนี้จะมีการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านบัญชีพร้อมเพย์ 3 ล้านคนเศษ ระบบเศรษฐกิจไทยจะได้รับการเติมเงินกว่า 30,000 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ นางสาวแพทองธาร ยังได้แสดงความยินดีกับประชาชน โดยหวังจะมีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นและหวังว่าเงินจำนวนนี้จะสามารถช่วยประชาชนในการบรรเทาทุกข์แบ่งเบาภาระได้หลายอย่าง และสามารถต่อยอดหลายๆอย่างในชีวิต ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันที่ดีขอให้ทุกท่านที่รับไปได้ใช้กันอย่างเต็มที่และสบายใจ สำหรับโครงการนี้จะช่วยผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี ส่วนเฟสต่อไปสื่อมวลชนรอฟังจากรายละเอียดกระทรวงการคลังต่อไป

เวลาต่อมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึง โครงการแจกเงินหมื่นในเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 โดยย้ำว่า…ในเย็นวันนี้ (27) กระทรวงการคลังจะได้รับรายงานตัวเลขที่แน่นอนว่าโอนไปได้เท่าใด และที่ยังโอนไม่ได้เกิดจากปัญหาอะไรบ้าง เช่น บัญชีธนาคารไม่เดินแล้ว หรือถูกปิดไปแล้ว ซึ่งเมื่อรู้เรื่องปัญหาบัญชีปลายทางก็ได้ทำการแก้ไขต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังจะดำเนินการโอนซ้ำอีก 3 ครั้งในรอบ 3 เดือน โดยจะโอนทุกวันที่ 28 ของเดือนมกราคม, กุมภาพันธ์ และมีนาคมต่อไป

ส่วน การโอนเงิน 10,000 บาทในเฟสที่ 3 ยังอยู่ภายในแนวคิดและกรอบเวลาเดิม กล่าวคือ เป็นการโอนผ่านระบบดิจิทัล วอลเล็ต โดยมีบล็อกเชนคอยกำกับดูแลอยู่ข้างหลัง และจะเริ่มโอนเงินในราวเดือนเมษายน – มิถุนายน 2568 เบื้องต้น มีกรอบวงเงินในเฟสที่ 3 ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งคงจะต้องตรวจสอบคุณภาพของผู้มีสิทธิ์ได้รับการโอนเงินกันอีกที สำหรับ ระบบการทำงานนั้น ตามที่ได้รับรายงานก่อนหน้านี้ พบว่าการเชื่อมต่อกับระบบธนาคารยังคงมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าทุกอย่างจะพร้อมดำเนินในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน บางส่วนอยู่ในเฟสที่ 1 อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในเฟสที่ 1 รัฐบาลก็จะดำเนินการทำให้คนกลุ่มนี้ ได้รับสิทธิ์ตามที่มีอย่างแน่นอน

“ในเฟสแรก รวมถึงเฟสที่ 2 และการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะโครงการไร่ละพัน รวมถึงโครงการ Easy e-Receipt สามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่รัฐบาลคาดหวังเอาไว้แล้ว” 3 รมต.คลัง ระบุ

อย่างที่เกริ่นในตอนต้น คนที่ได้รับแจกเงิน 10,000 บาท ก็คงดีใจกันถ้วนหน้า แต่สำหรับคนที่ไม่ได้แจกหรือยังไม่ได้แจก และไม่รู้ว่ายังจะมีสิทธิได้รับแจกอีกหรือไม่? เพราะเม็ดเงินที่เหลือ 1.6 แสนล้านบาทนั้น รองรับคนในเฟส 3 ได้แค่ 16 ล้านคนเท่านั้น หากจำนวนนี้ นำไปรวมกับคนในเฟสแรก 14.5 ล้านคน และอีก 3 ล้านคนเศษในเฟสที่ 2 ยอดรวมจะเป็น 31 ล้านคนโดยประมาณ

แต่กับการลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ในโครงการแจกเงินหมื่นผ่านแอปฯทางรัฐก่อนหน้านี้ มีมากกว่า 40 ล้านคน ซึ่งหากกระทรวงการคลัง ยังคงยืนยันจะแจกเงินในเฟสที่ 3 แค่ 1.6 แสนล้านบาทล่ะก็

หมายความว่า…จะมีคนที่ “ตกสำรวจและหลุดขบวน” รับแจกเงินหมื่น ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน

คนจำนวนนี้ รวมถึงคนที่ไม่มีสิทธิ์รับเงินตั้งแต่ต้นอีกกว่า 20 ล้านคน นับรวมยอดคร่าวๆ คงไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ จะหมดสิทธิ์รับแจกเงินหมื่น แต่ต้องรับภาระ “หนี้สาธารณะ” ที่รัฐบาลนำมาแจกจ่ายให้ในโครงการเหล่านี้

คนกลุ่มนี้ ควรจะ ยิ้มและก้มหน้ารับชะตากรรม! ที่ได้กำหนดเอาไว้แล้ว(เชียว)!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password