กกร.ติวเข้ม! มุมเศรษฐกิจ ยัน…ยังมั่นใจ ‘รัฐบาลอิ๊ง’ – เผย! รัฐต้องผุดนโยบาย ‘ดูดเงินใหม่’ เข้าประเทศฟื้นเศรษฐกิจไทย
นายกรัฐมนตรีเปิดรับฟังข้อเสนอด้านเศรษฐกิจจาก 3 องค์กรหลักภาคเอกชน (กกร.) เผย! แกนนำภาคเอกชนยังมั่นใจศักยภาพรัฐบาล พร้อมเร่งสานต่อนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ประกาศเดินหน้าแก้ไขปัญหาร่วมกับภาคเอกชน วางเป้าหมายเศรษฐกิจไทยต้องฟื้นในทุกมิติในเร็ววันนี้ ย้ำ! ปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ ระบุ! รัฐบาลต้องผุดดำเนินนโยบายหารายได้ใหม่เข้าประเทศ
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรและรมว.คลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับและร่วมหารือถึง แนวทางการส่งเสริมและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบด้วย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และ นายสุธีร์ สธนสถาพร ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เมื่อช่วงสายวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เป็นนิมิตหมายอันดีที่จะพบปะหารือกับคณะกรรมการร่วมเอกชน โดยจากการรับฟังครั้งก่อนได้รับประโยชน์และนำไปปรับปรุงในการบริหารงานของรัฐบาลได้อย่างมาก ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 10 ปี ส่งผลกระทบต่อประชาชนและเกิดหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น จึงต้องการให้ภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันในทุกมิติ ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายหารายได้ใหม่ ๆ เข้าประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ที่ผ่านมาไม่กี่เดือนรัฐบาลได้เร่งทำเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” โดยได้ร่วมมือกับเอกชนจำนวนมากซึ่งถือเป็นภาคสำคัญในการทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งรัฐบาลและภาคเอกชนจะทำงานร่วมกันเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนและรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน เพื่อนำไปปรับให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาลต่อไป”
ด้าน นายสนั่น ประธาน กกร. กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาล พร้อมเสนอรายงานผลจากการระดมความเห็นจากตัวแทนภาคธุรกิจในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้รัฐบาลนำไปประกอบเป็นแนวทาง กำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ให้สอดรับกับสถานการณ์ของโลกและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยมีเป้าหมายไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 2.การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 3. การบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ และ 4. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังขอให้รัฐบาลสนับสนุนส่งเสริม ประชาชนที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์เช่นรถกระบะในการทำมาหากิน โดยขอให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน อาทิ การขยายเวลาการผ่อนชำระ การยกเว้นดอกเบี้ยปรับ ค่างวดรถที่ค้างชำระ และขอให้ผ่อนปรนในการยึดรถ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีรถใช้ทำมาหากินได้ต่อไป ส่วนด้าน การท่องเที่ยว ขอให้รัฐบาลเร่งประชาสัมพันธ์เทศกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะงานพืชสวนโลก ซึ่งจังหวัดอุดรธานีจะเป็นเจ้าภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว
สำหรับ เรื่องการบริหารจัดการน้ำ ขอให้รัฐบาลพิจารณานโยบายที่ สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำมาต่อยอดเดินหน้าโครงการต่อไป เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและต่อพื้นที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ และขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลังเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ พร้อมเสนอให้มีการพบปะหารือระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทุก ๆ 6 เดือน
ขณะที่ นายเกรียงไกร ปธ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสนอแนวคิดให้กับรัฐบาล ว่า ขอให้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก โดยเสนอให้รัฐบาลจัดทำโครงการ “คนละครึ่ง” ต่อเนื่องจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อเป็นการกระตุ้นในระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะต้นปีหน้านี้ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลสงกรานต์ เป็นช่วงที่ประชาชนต้องจับจ่ายซื้อของและเดินทางท่องเที่ยว พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลเร่งรัดให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณภาคเอกชนสำหรับข้อเสนอและแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยจะนำข้อเสนอไปพิจารณาและจะติดตามการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ในรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำไว้ดีอยู่แล้วเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและไม่ให้สะดุด ในส่วนของกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดต้นทุนแฝงและกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ขอให้ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาล ซึ่งพร้อมพิจารณาดำเนิน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังตอบรับข้อเสนอของภาคเอกชนในการพบปะหารือร่วมกันอย่างน้อย 6 เดือนอีกด้วย.