ผนึก! ผุด SMEs Credit Boost

“ธปท. – คลัง – แบงก์พาณิชย์” ผนึกกำลังเดินหน้า…เปิดเกมใหม่ “SMEs Credit Boost” ใช้เงิน FIDF ค้ำประกันความเสี่ยง! ปลดล็อกความกล้าปล่อยกู้ หวังอัดเม็ดเงินใหม่กว่าแสนล้านบาทเข้าสู่ระบบ พร้อมยกระดับเศรษฐกิจไทยจากฐานรากอย่างมีวินัยและยั่งยืน ย้ำ! ใช้แนวคิดและแนวทางไม่ได้ หลังพบสินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบยาว 13 ไตรมาส  

เศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก หนึ่งในสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุด! นั่นคือ…การหดตัวต่อเนื่องของสินเชื่อภาคธุรกิจ

โดยเฉพาะ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ติดลบยาวนานถึง 13 ไตรมาสติดต่อกัน!!??

ปรากฏการณ์ดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนเพียงความอ่อนแรงของอุปสงค์สินเชื่อ แต่ยังสะท้อนความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นชนิด “เกินเหตุ” ของธนาคารพาณิชย์ ภายใต้ความเชื่อฝังหัวว่า…

พวกเขาอาจประสบปัญหา “ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต” ที่สูงขึ้น! จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและโครงสร้างธุรกิจที่เปลี่ยนไป

ในบริบทนี้ การแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือเดิม อย่าง…การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กลับจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด? นั่นเพราะ…ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ “ราคาเงิน” เพียงอย่างเดียว

แต่อยู่ที่ “ความเสี่ยง” และ “ความกลัว” ของระบบการเงินต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับภาคธุรกิจที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ

การเปิดตัวโครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Credit Boost” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (26 ธันวาคม 2568) จึงมีนัยยะมากกว่ามาตรการการเงินทั่วไป

เพราะมันได้สะท้อน การ “ขยับ!” เชิงยุทธศาสตร์ของรัฐ ในการออกแบบ “บทบาทใหม่” ของนโยบายเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่การอัดฉีดเงินโดยตรง แต่เป็นการ “ออกแบบความเสี่ยง” ให้ระบบการเงิน…สามารถเดินต่อได้โดยไม่ทำลายวินัยทางการเงิน

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายชัดเจนว่า…ธปท. ได้ขยายบทบาทจากการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค มาเป็น “ผู้นำ” ในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคธุรกิจและประชาชนมากขึ้น

เนื่องจากปัญหาเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ “ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เพียงอย่างเดียว อีกแล้ว

“ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถแก้ได้ด้วยเครื่องมือเดียว จำเป็นต้องใช้มาตรการเฉพาะจุดที่ออกแบบให้ตรงกับต้นตอของปัญหา และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เพียงการวิเคราะห์ หรือวิจารณ์ร่วมกัน” คำกล่าวข้างต้นนี้ สะท้อนการ “เปลี่ยนวิธีคิด” ของแบงก์ชาติใหม่???

จากเดิมที่ทำหน้าที่เป็นเพียง “ผู้คุมเสถียรภาพ” มาเป็น “ผู้ออกแบบกลไกเชิงรุก!” เพื่อพยุงระบบเศรษฐกิจไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน…ได้อย่างชัดเจนที่สุด!

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ SMEs ถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ เนื่องจากภาคธุรกิจกลุ่มนี้ มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ทั้งในแง่การจ้างงานกว่า 70% ของแรงงานทั้งประเทศ และการสร้างมูลค่าเพิ่มคิดเป็นประมาณ 35% ของ GDP

หาก SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้อย่างเพียงพอ ย้ำ! เฉพาะสินเชื่อใหม่ และไม่เกี่ยวกับกรณีการค้ำประกันสินเชื่อของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เนื่องเพราะ…โครงการใหม่นี้ เป็นการต่อยอดและทลายข้อจำกัดเดิมที่ บสย. เคยมี…

ดังนั้น การไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ของ SMEs นั้น ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้หยุดอยู่ที่กิจการรายย่อย หากแต่จะลุกลามไปสู่ “ห่วงโซ่” การผลิตทั้งระบบ! และอาจ “บั่นทอน” เสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ก็เป็นได้!!!!

โครงการ SMEs Credit Boost จึงถูกออกแบบให้เป็นกลไกค้ำประกัน “สินเชื่อใหม่” โดยใช้เงินจากการปรับลดการนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารพาณิชย์ในปี 2569 วงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตในสัดส่วน 15–30% ของยอดสินเชื่อใหม่ ขึ้นกับขนาดของผู้ประกอบการ พร้อมกำหนดระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด 7 ปี

กลไกดังกล่าว คาดว่า…จะช่วยให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่ ได้มากกว่าวงเงินค้ำประกันประมาณ 5 เท่า หรือคิดเป็นเม็ดเงินใหม่ราว 100,000 ล้านบาท ภายใน 1–2 ปีข้างหน้า

ที่สำคัญ โครงการนี้ ไม่ได้มุ่งหว่านความช่วยเหลือแบบกว้างไร้ทิศทาง แต่ “กำหนด” กลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ครอบคลุม SMEs ในอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิด Reinvent Thailand เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โลจิสติกส์ และธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน

รวมถึง SMEs และธุรกิจรายใหญ่ที่มีแผนนำสินเชื่อไปยกระดับศักยภาพการแข่งขัน, สร้างนวัตกรรม หรือเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยในอนาคต

ในเชิงการออกแบบเชิงสถาบัน โครงการนี้ยังพยายามลดความเสี่ยงด้านพฤติกรรม (moral hazard) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน…การกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมที่ชัดเจน, ไม่เป็นหนี้เสีย, มีฐานะทางการเงินไม่ติดลบ, เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งในประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นไทยเป็นหลัก

รวมถึง…ไม่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สิ่งเหล่านี้ ทำให้เม็ดเงินค้ำประกัน จะมุ่งไปสู่…ธุรกิจที่มีศักยภาพจริง มากกว่าเป็นการ “อุ้ม” กิจการที่หมดความสามารถในการแข่งขันทั่วไป

อีกด้านหนึ่งของ ภาพใหญ่ในเชิงยุทธศาสตร์ ที่เริ่มปรากฏภาพชัดมากขึ้น จากมุมมองของ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล เมื่อ นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง ระบุว่า SMEs ถือเป็น “เสาหลักที่ 3” ของนโยบาย Quick Big Win ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นการเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจผ่านแพ็กเกจมาตรการทางการเงินรวมกว่า 267,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2568

โดยหัวใจของนโยบายนี้ ไม่ใช่เพียงการลดดอกเบี้ย แต่คือ…การทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้จริง

“มาตรการนี้ต้องทำให้ระบบการเงินกล้าปล่อยกู้ และทำให้ผู้ประกอบการมีโอกาสกลับมาเดินหน้าธุรกิจได้อีกครั้ง” คำกล่าวข้างต้นของ นายเบญจรงค์ ได้สะท้อนทิศทางการใช้นโยบายการเงินและการคลังแบบผสมผสาน มากกว่าการแยกทำงานเป็นส่วน ๆ

โดยเมื่อมองในภาพรวม โครงการ SMEs Credit Boost จึงไม่ใช่มาตรการเดี่ยว แต่เป็น “ฟันเฟืองหนึ่ง” ในชุดนโยบายแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่…การจัดการหนี้เสียรายย่อย, การยกระดับห่วงโซ่การผลิตผ่านความร่วมมือระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับ SMEs, การปรับเครดิตเทอม

ไปจนถึง การใช้กลไกจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อันจะเป็นแรงส่งเสริมธุรกิจไทยควบคู่กันไป!!!

ในเชิงกลยุทธ์ นี่คือ…ความพยายามของรัฐ ในการ “ปลดล็อกความกลัว” ของระบบการเงิน โดยไม่ทำลายวินัย ไม่สร้างภาระงบประมาณโดยตรง และไม่บิดเบือนกลไกตลาดจนเกินไป

หากกลไกนี้ ทำงานได้ตามเป้าหมาย โครงการ SMEs Credit Boost ไม่เพียงจะช่วยให้สินเชื่อกลับมาขยายตัวเท่านั้น แต่จะเป็น “บททดสอบสำคัญ” ของการ “ออกแบบ” นโยบายเศรษฐกิจไทยในยุคที่ปัญหาเชิงโครงสร้างซับซ้อนเกินกว่าจะใช้เครื่องมือเดิม ๆ ได้อีกต่อไปอีกด้วย!!??

สำหรับ โครงการ SMEs Credit Boost นี้ จะเริ่ม “รัน” นับแต่วันที่ 15 มกราคม 2569 เป็นต้นไป..

ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น…เราคงพอมีเวลาจะได้เกาะติดและร่วมวิเคราะห์ถึงผลสัมฤทธิ์ที่มีตามมา

สุดท้าย! มันจะไปอย่างที่ ธปท. กระทรวงการคลัง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดหวัง…ตั้งใจไว้หรือไม่? อย่างไร?

อีกไม่นานคงได้รู้กัน!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password