ธปท. คุมเข้มเงินเข้า! หวั่นเก็งกำไรทองคำ มุ่งสกัด! เกมดันบาทแข็งค่า

“ผู้ว่าแบงก์ชาติ” ห่วง! เก็งกำไรทองคำออนไลน์ ดันเงินบาทแข็งค่าเกินจริง ชี้! ไม่เอื้อต่อภาพรวมธุรกิจและจีดีพี จ่อแก้กฎหมายคุมเข้มธุรกรรมเงินขาเข้า ตั้งแต่ 2 แสนดอลลาร์ขึ้นไป
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นหลัก จากข้อมูลการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า มีแรงกดดันสำคัญมาจากการเก็งกำไรทองคำผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสร้างธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจริง และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพค่าเงินบาท รวมถึงภาคการออกของประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อ ผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ นักเก็งกำไร ขายทองคำผ่านแอปฯของร้านทอง โดยเฉพาะ 5-6 รายใหญ่จากทั้งหมดประมาณ 15 ราย ร้านทองเหล่านั้น ก็จะนำทองคำไปขายต่อในตลาดต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยง (Square Position) จากนั้น จึงนำดอลลาร์ที่ได้รับ มาขายเพื่อซื้อเงินบาท กระบวนการดังกล่าวสร้างแรงขายดอลลาร์ในปริมาณสูงและรวดเร็ว ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าอย่างฉับพลัน
โดยข้อมูลเชิงลึกพบว่า ในบางช่วงของปีที่ผ่านมา การขายดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทองคำผ่านแอปฯ มีสัดส่วนสูงถึง 40–50% ของยอดขายดอลลาร์ทั้งประเทศ และในบางเดือน เช่น เดือนสิงหาคม 2568 สัดส่วนดังกล่าวพุ่งขึ้นถึงราว 60% ซึ่งสูงกว่าการขายดอลลาร์จากภาคส่งออก หรือเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดทุน
ผู้ว่าแบงก์ชาติ ย้ำว่า การเก็งกำไรทองคำในลักษณะนี้ ไม่ได้ช่วยเพิ่มการผลิตหรือการจ้างงาน ไม่ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และไม่ส่งผลบวกต่อ GDP แต่กลับเพิ่มความผันผวนของค่าเงินบาท และสร้างภาระต่อผู้ประกอบการส่งออกที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ ธปท. พบว่า ธุรกิจค้าทองคำในไทยยังแทบไม่มีกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน และอยู่ระหว่างการขออำนาจแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้สามารถกำกับดูแลธุรกรรมซื้อขายทองคำที่ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ภายใต้ พระราชบัญญัติเงินตราต่างประเทศ
โดยมาตรการดังกล่าวยืนยันว่า…ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำตามร้านทั่วไป และไม่กระทบผู้ซื้อขายรายย่อยผ่านแอป แต่จะมุ่งดูแลนักเก็งกำไรรายใหญ่ที่ทำธุรกรรมปริมาณสูงและถี่ รวมถึง ร้านทองรายใหญ่ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของมาตรการภายในกลางเดือนมกราคมนี้
นายวิทัย ระบุว่า ธปท. ไม่ได้ตั้งเป้าค่าเงินบาทที่ระดับใดระดับหนึ่ง แต่มีเป้าหมายหลักคือการลดความผันผวน และลดแรงกดดันจากธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจริง
สำหรับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในภาพรวม นั้น ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้ว่า มี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปีนี้อ่อนค่าลงราว 10% และ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ออกมาดีกว่าคาด
ปัจจัยด้านกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้าลงทุนในตราสารระยะยาวในตลาดทุนไทย
และ ปัจจัยด้านการดูแลค่าเงินของ ธปท. ซึ่งมีข้อจำกัดจากข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ไม่สามารถแทรกแซงเพื่อบิดเบือนค่าเงินได้ ทำได้เพียงลดความผันผวน เท่านั้น
ในบริบทดังกล่าว ธปท. จึงปรับแนวทางกำกับดูแลจากเดิมที่เน้นตรวจสอบเงินทุนขาออก มาให้ความสำคัญกับเงินทุนขาเข้ามากขึ้น โดยล่าสุด ได้ลงนามประกาศให้สามารถตรวจสอบเอกสารการนำเงินเข้าประเทศ ตั้งแต่ธุรกรรมมูลค่า 200,000 ดอลลาร์ขึ้นไป ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อให้เห็นแหล่งที่มาและวัตถุประสงค์ของเงินทุนอย่างชัดเจน
โดยธุรกรรมปกติ เช่น การโอนเงินของแรงงานไทยในต่างประเทศ หรือการค้าระหว่างประเทศที่มีเอกสารครบถ้วน จะไม่ได้รับผลกระทบนี้ โดยที่ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบตามมาตรฐานสากล ต่อไป.






