หายนะ ‘ระบบคัดกรอง – ตรวจสอบ’

(ระบบตรวจสอบที่ห่วยของรัฐ ปล่อย “เงินสกปรก” กินรวบการเมืองไทย อาจกลายเป็นหายนะภัยของแผ่นดิน)

หากปล่อย “เงินสกปรก” ไหลผ่านรอยรั่วของรัฐ จนเลื้อยเข้าสู่ “การเมืองระดับสูง!” ระบบคัดกรองที่ควรจะสกัดกั้นภัยร้าย? กลับเปิดให้ “ทุนเทา” เข้าถึง…กลุ่มคนใน “อำนาจรัฐไทย” ได้ง่ายเกินจริง? การไม่เร่งปิดช่องโหว่! รัฐไทย อาจต้องเผชิญหายนะครั้งใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่ทางการเมือง แต่ลึกลามไปถึงเศรษฐกิจ ความมั่นคง และอนาคตของคนทั้งชาติ
ปฏิบัติการ “ยึด…อายัดทรัพย์” เครือข่ายสแกมเมอร์ สาย “กัมพูชา-จีนเทา” ในไทย กว่า 10,165 ล้านบาทของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และได้คนระดับ “นายกรัฐมนตรี” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นำแถลงข่าว เมื่อ 2 วันก่อน กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ!!!
แต่สิ่งที่ทำให้ สังคมไทย…สั่นสะเทือนยิ่งกว่าตัวเลขทรัพย์สินมหาศาล ก็คือ…ภาพถ่ายของ “ผู้ต้องสงสัย” คนสำคัญ? อย่าง…นายเบน สมิธ ที่ปรากฏร่วมโต๊ะ, พูดคุย และดื่มไวน์กับ “บุคคล…ระดับหัวใจ” ของรัฐบาลไทย อย่าง นายอนุทิน และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะกรณีของ นายอนุทิน ที่ดูจากภาพแล้ว เสมือนมันจะเป็นไปในบรรยากาศที่แทบไม่มี “ช่องว่าง” ทางสถานะต่อกันสักเท่าใด???
กระนั้น ความบังเอิญของภาพถ่ายที่โผล่มาในช่วงเวลานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะมันไปกระแทกกับ “คำถามสำคัญที่สุด!” ของประเทศในเวลานี้…
ทำไมบุคคลแบบนี้ จึงเข้าถึง “ผู้มีอำนาจ” ในรัฐไทยได้ง่ายขนาดนี้???
และ “ระบบตรวจสอบ” ของรัฐอยู่ตรงไหน? ในวันที่ “ทุนเทา” เดินเข้ามาในประเทศนี้ ชนิดแทบไม่ต้องเคาะประตูกันเลย???
แม้จะมี การปฏิเสธ ออกมาแล้ว ถึงขั้น…สร้างวิวาทะการเมือง กับ อดีตพรรครัฐบาล “เพื่อไทย” ทำนอง…
เป็นเพราะ…นายอนุทิน สมัยเป็น รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่ยอมให้ “สัญชาติไทย” แก่ นายเบน สมิธ จึงถูกขอให้ “ลาออก” จากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย และทำให้ต้องตัดสินใจลาออกจากการร่วมรัฐบาลในเวลาต่อมา…
“ภาพดังกล่าวถ่ายในปี 2557 เป็นการพบกันโดยบังเอิญ ระหว่างการเดินทางไปสิงคโปร์ของคณะบุคคลระดับสูง ในช่วงหลังการทำรัฐประหารฯ” นายอนุทิน ชี้แจงและยืนยันว่า…“รู้จักแต่ไม่สนิท”
แม้คำชี้แจงจะตอบข้อสงสัยบางส่วนได้? แต่กลับ “จุดชนวน!” คำถามที่ใหญ่และคมกว่าเดิม ในทำนอง…
หาก บุคคลที่รัฐมองว่า “เป็นภัย” ต่อความมั่นคงด้านการเงินข้ามชาติ สามารถพบปะ “ผู้มีอำนาจ” ระดับนี้…ได้โดยไม่มีสัญญาณเตือน! จากหน่วยงานความมั่นคง
นั่นสะท้อน ระบบของรัฐไทย ว่า…บกพร่องเพียงใด ได้หรือไม่?
ฝ่ายค้าน นำโดย นายรังสิมันต์ โรม พรรคประชาชน เปิดประเด็นแบบไม่อ้อมค้อมว่า…“เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นภาพถ่าย แต่คือหลักฐานว่ารัฐไทยถูกเจาะระบบล่วงหน้าไปแล้ว ทุนเทาข้ามชาติสามารถเข้ามาถึงระดับผู้มีอำนาจสูงสุดได้โดยที่รัฐไทยไม่รู้เรื่องเลย”
นายรังสิมันต์ โรม ยังชี้ว่า…เส้นเงินระหว่าง นายยิม เลียก, นายเบน สมิธ และกลุ่มทุน Prince Holding Group มีความชัดเจนในเชิงร่วมลงทุน แม้ยังไม่ชี้ชัดการกระทำผิดทางอาญา แต่ก็มีน้ำหนักเพียงพอจะสะท้อน “ความล้มเหลว” ของกลไกอำนาจรัฐ ด้านความมั่นคงทางการเงิน….ที่ควรตรวจพบก่อน
ไม่ใช่หลังจากยึดทรัพย์สำเร็จแล้วจึงค่อยไล่ตาม!!!
ขณะที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคเดียวกัน ตั้งคำถามรุนแรงกว่าเดิมว่า…“เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นภาพรัฐมนตรีดื่มไวน์กับบุคคลที่ถูกตั้งข้อสงสัย? โอกาสที่พวกเขาจะกล้าปราบคนที่มีสายสัมพันธ์ระดับนี้มันมีอยู่จริงหรือ?”
นี่คือ…คำถามที่แทงใจกว่าแถลงการณ์ใด? เพราะมัน สะท้อนความจริงทางจิตวิทยาในระบบราชการไทย…ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ อาจทำให้เจ้าหน้าที่ลังเล ก่อนที่ “ระบบกฎหมาย” จะได้เริ่มทำงานด้วยซ้ำไป!!??
ด้าน พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการทหารฯ วุฒิสภา ออกมาพูดอย่างระมัดระวังว่า “อาจเป็นการพบปะที่ไม่รู้เบื้องหลัง” แต่เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า…เหตุการณ์นี้กระทบ “เครดิตของประเทศไทย”
รัฐบาลต้องรอบคอบอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายความเชื่อมั่นของรัฐไทยทั้งระบบ!
โดยเฉพาะใน “สายตาต่างชาติ” ที่มองว่า…ไทยกำลังกลายเป็น “ศูนย์กลางฟอกเงิน” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับฝั่งตลาดทุน นายอัสสเดช คงสิริ ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า…การยึดหุ้นบางจากกว่า 6,000 ล้านบาท เป็นเรื่องเฉพาะรายจริง แต่ก็ยอมรับว่าเป็น “สัญญาณเตือนครั้งใหญ่” ว่าทุนผิดกฎหมายสามารถซ่อนตัวอยู่ในบริษัทจดทะเบียนไทย และสร้างแรงกระเพื่อมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ หากระบบกำกับดูแลไม่แข็งแรงพอ
ทั้งหมดนี้ นำไปสู่ “แก่นของปัญหา” ที่ว่า…ประเทศไทยไม่ได้ล้มเหลว? แค่ในการจัดการกับสแกมเมอร์ แต่กำลังล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้ “เงินสกปรก!” เข้ามาซื้อ…อนาคตทางการเมืองของประเทศ
ในยุคที่ “เงินสกปรก” จาก…บ่อนออนไลน์, การพนัน, สแกมข้ามชาติ และเงินทุนจากประเทศเพื่อนบ้านหมุนเวียนเข้าไทย โดยใช้…บัญชีม้า บัญชีคริปโต และบริษัทบังหน้าเป็นเครื่องมือ
กลไกของรัฐไทย…กลับทำงานแบบ “ไล่หลังเหตุการณ์” แทนที่จะ “ปิดหน้าประตู” ให้ทันก่อนที่เครือข่ายเหล่านี้จะเติบโตเกินกว่าจะหยุดได้…
คำถามต่อไป ก็คือ…หากทุนเทาสามารถซื้อเสียงในระดับพื้นที่ กระทั้ง ผลักดันผู้สมัครเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎร, ซื้อความจงรักภักดีของพรรคการเมือง
และ สุดท้าย…ทำให้ “คนของตน” ได้รับตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ที่คุมหน่วยงานสำคัญๆ อย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงการคลัง ฯลฯ
รวมถึง องค์กรอิสระอย่าง…ปปง., กกต., ป.ป.ช. และอื่นๆ ได้
ประเทศไทย…ก็จะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “รัฐถูกยึดครอง” หรือ State Capture อย่างสมบูรณ์ ใช่หรือไม่???
กฎหมายจะถูก “ออกแบบ” มาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบรรททุนเทา? ธุรกิจสกปรก! จะกลายเป็นธุรกิจปกติ?
นโยบายรัฐ…จะถูกใช้เพื่อ “ทำความสะอาด” ให้กับ “เงินผิดกฎหมาย” ผ่านโครงการต่างๆ
และ บรรดา “องค์กรตรวจสอบ” ของประเทศ…ก็จะสูญเสีย “เขี้ยวเล็บ!” จนกลายเป็นเพียง…เครื่องมือของผู้จ่ายเงินให้กับพรรคและนักการเมืองเหล่านั้น
ผลกระทบความเสียหายที่จะตามมา…คงไม่ใช่เรื่องเล็ก!!! เพราะประเทศ…ที่ถูก “ทุนเทา”ครอบงำ…ต่างก็ประสบกับความล้มเหลวกันมาแล้วทั่วโลก
ตั้งแต่…เวเนซุเอลา ที่ทรุด! จากน้ำมันสู่ “ระบบมาเฟีย”
เม็กซิโก ที่รัฐถูก “อาชญากร” แทรกซึม! จนประชาชนไม่เชื่อในตำรวจ
หรือแม้แต่ บางประเทศในอาเซียน? ที่ “เงินมืด” กลายเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน อย่างไม่เป็นทางการ จนไม่สามารถ “แยก” สิ่งผิดกฎหมาย ออกจาก “นโยบายรัฐ” ได้ อีกต่อไป
หาก รัฐไทย…เดินตามเส้นทางเดียวกันนี้ สังคมไทย…อาจเจอทั้ง “ความอยุติธรรม” อย่างกว้างขวาง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่รุนแรงขึ้น!
คนรุ่นใหม่…สูญเสียศรัทธาในรัฐและเลือกย้ายประเทศ???
ตลาดทุนเสียหาย เศรษฐกิจจริงถูกเบียดจนล้ม! และ ท้ายที่สุด! ประเทศไทย…อาจจะไม่ใช่ “รัฐที่ประชาชนไว้วางใจ” ได้อีกต่อไป
ถึงตรงนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน จำเป็นต้องทำมากกว่าแค่แถลงข่าว หรือปฏิเสธภาพถ่ายเหล่านั้น
สิ่งที่จำเป็นและต้องเร่งลงมือทำอย่างเร่งด่วน! นั่นคือ…ปฏิรูประบบตรวจสอบทั้งโครงสร้าง!!!
ตั้งแต่…การปรับระบบ KYC ของสถาบันการเงิน, การเชื่อมข้อมูลของ ปปง. ตลท. แบงก์ชาติ ตำรวจ และหน่วยข่าวกรอง…แบบเรียลไทม์
เร่งดำเนินการตรวจสอบ “ผู้ใกล้ชิด” ของผู้มีอำนาจตามมาตรฐานเดียวกับกลุ่มประเทศ G20
เพิ่มความโปร่งใสของการ “บริจาคเงิน” ให้กับพรรคการเมือง
การตรวจสอบ “เส้นเงิน” ของผู้สมัครระดับ ส.ส. และรัฐมนตรีอย่างเข้มงวด
รวมถึง…การให้ความเป็น “อิสระที่แท้จริง” แก่หน่วยงานตรวจสอบ…
เพราะหาก รัฐไทยยังล้มเหลวต่อการ “สกัดเงินสกปรก” ในวันนี้ เชื่อว่า…ในวันหน้า สิ่งที่คนไทยจะได้เห็น อาจไม่ใช่แค่ภาพความอ่อนแอของรัฐบาล เท่านั้น…
แต่จะได้เห็น…ประเทศทั้งประเทศ “ถูกยึด!” โดย…กลุ่มทุนสกปรกขนาดมหึมา ที่ไม่เคยผ่านสนามการเมืองและการเลือกตั้ง ไม่เคยเคารพกฎหมาย และใช้ “เงินผิดกฎหมาย” เป็นอำนาจเหนือประชาชน!!!
หาก “ไม่ปิดช่องโหว่” ในวันนี้ อนาคตของประเทศไทย…อาจไม่ได้ถูกกำหนดโดยประชาชนอีกต่อไป แต่จะ “ถูกซื้อ” ไปในราคาที่ประเทศ…ไม่มีวันตามคืนกลับมาได้อย่างแน่นอน!!!.






