‘เทา’ ฮุบ! การเมือง???


ยึดหมื่นล้านทุนเทา! หาใช่ “จุดจบ” ขบวนการสแกมเมอร์ แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของคำถามที่ใหญ่กว่า??? เมื่อ “ทุนเทาข้ามชาติ” เริ่มเข้ามา “ปั้น” นักการเมืองไทย! เงินสกปรกอาจกำลัง “ซื้ออนาคต” ของชาติโดยที่ประชาชนไม่รู้ตัว? ที่สุด! การเมืองไทยจะสกัดมันได้จริงกี่โมง?
บ่ายวานนี้ (3 ธ.ค.2568) ณ ห้องประชุมชัยจินดา ชั้น 2 อาคารประชารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นำทีม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แถลงข่าวการยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติรวมกว่า 10,165 ล้านบาท
“ไม่ว่ารัฐบาลไหน? “หัวหน้ารัฐบาล” ถ้าใส่ใจ และเชิญ ผู้บังคับบัญชาหัวหน้าส่วนราชการที่มีหน้าที่ปราบปรามเรื่องพวกนี้โดยตรง มาและยืนยันเจตนารมณ์ว่าต้องปราบต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ ยืนยันให้การสนับสนุนทุกรูปแบบเราก็สามารถป้องกันยับยั้งจับกุมดำเนินคดีได้ทุกอย่าง…” คำพูดก่อนหน้านั้น จากปากของ นายกฯอนุทิน
การยึดและอายัดทรัพย์ทุนเทาครั้งนี้….อาจเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดของปี!!!
แต่สำหรับ…ผู้สังเกตการเมืองอย่างลึกซึ้งแล้ว ปฏิบัติการนี้..เป็นเพียงประตูบานแรกสู่เรื่องใหญ่กว่านั้น?
เพราะสิ่งที่ รัฐไทย ยึดได้คือ “ทรัพย์” ทว่า สิ่งที่ยังไม่เคยแตะต้องจริง ๆ คือ “อำนาจ” ของทุนเทาข้ามชาติ ที่กำลังสยายปีกแทรกซึมเข้าสู่การเมืองไทยอย่างเงียบเชียบ
หากเงินหมื่นล้านสามารถหลุดลอดเข้ามาในประเทศได้อย่างแนบเนียน คำถามต่อไป ก็คือ..
มันใช้ซื้ออะไรได้บ้างในระบบการเมืองแบบไทย ๆ ที่ยังเปราะบางต่อเงินทุกสีอยู่เสมอ
การสืบสวนตั้งแต่..คดี “ยิม เลียก–เบน สมิธ” มูลค่า 9,279 ล้านบาท ไปจนถึงเครือข่ายก๊ก อาน และเฉิน จื้อ ทำให้เห็น…โครงสร้างใหม่ของทุนสีเทาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง…คาสินโน คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ บัญชีม้า เงินคริปโต และบริษัทบังหน้าในหลายประเทศ
ซึ่งล้วน หมุนรอบศูนย์กลาง ตรงจุดที่เรียกว่า.. “ประเทศไทย” ในฐานะ..
จุดผ่านเงิน จุดฟอกเงิน และที่สำคัญที่สุด…“จุดเข้าหาการเมือง”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่? ในประเทศเพื่อนบ้าน ทุนเทาเคยซื้อพรรคการเมือง ซื้อข้าราชการ ซื้อกฎหมายจนเกิด “รัฐในรัฐ” มาแล้ว และสังคมไทยกำลังเดินมาถึงจุดที่ต้องถามตรง ๆ ว่า เรากำลังจะกลายเป็นแบบนั้นหรือไม่?
เพราะชื่ออย่าง เบน สมิธ หรือ ยิม เลียก ไม่ได้ปรากฏเฉพาะในรายงานสืบสวน แต่โผล่ขึ้นในภาพถ่ายเก่า ภาพร่วมงานสังคม ภาพนั่งเรือยอชต์ และภาพเดินสายกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
บางภาพเกิดขึ้นก่อนคดีจะถูกเปิดโปง บางภาพเกิดขึ้นในช่วงที่กระแสยังไม่รุนแรง จึงหลุดรอดสายตาสาธารณะไปได้
ปัญหาไม่ใช่ภาพถ่าย หากแต่คือ “ความสามารถเข้าถึง” คนระดับสูงของเครือข่ายเหล่านี้ เพราะไม่มีสแกมเมอร์รายย่อยคนไหนเข้าใกล้รัฐมนตรี รองนายกฯ หรืออดีตนายกฯ ได้ง่าย ๆ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องนิยาย แต่มันคือ ตัวบ่งชี้ ว่า…เงินที่ถูกฟอกผ่านแอปพนัน ผ่านเหรียญ USDT ผ่านปีกธุรกิจสีเทา น่าจะเดินทางเข้าไปถึงวงการการเมืองไทยในหลายรูปแบบ
ทั้งการอุปถัมภ์ การจัดทริปต่างประเทศ การใช้เรือหรู เครื่องบินเจ็ต และอาจรวมถึงการสนับสนุนเครือข่ายหัวคะแนน การเซ็นสัญญาของนักการเมืองบางคน หรือแม้กระทั่งช่วยอำนวยความสะดวกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบเงียบ ๆ
สิ่งที่สังคมไทยต้องยอมรับ ก็คือ สแกมเมอร์วันนี้..ไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ธรรมดา ที่อค่หลอกกินไปวัน ๆ แต่คือ “ทุนมหาศาล” ที่สามารถจะกลืนกิน แม้กระทั่งพรรคและนักการเมือง หากไม่มีการยับยั้ง…ทันเวลา
ประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง? กำลังเผชิญปัญหานี้เต็มตัว…ทุนเทาข้ามชาติเข้าซื้อกิจการต่างชาติริมฝั่งโขง ใช้คาสิโนเป็นแหล่งฟอกเงิน และค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในระบบการเมือง
หลายประเทศในอาเซียน กำลังกังวลว่า…เส้นแบ่งระหว่าง “ชนชั้นนำ – นักการเมือง – มาเฟีย” อาจเลือนหายไป? ในยุคที่…การฟอกเงินสกปรก! ทำได้ง่ายมากกว่าที่เคยเป็น
คำถามสำคัญ จึงไม่ใช่ว่า…“ยึดทรัพย์ได้เท่าไร” แต่คือ “ทุนเทาเหล่านี้อยู่ตรงไหนในระบบอำนาจไทย?”
เพราะหากเงินจาก..เครือข่ายสแกมเมอร์ สามาระจะนำไปซื้อ…ที่ดินหรูในกรุงเทพฯ ซื้อคอนโดใจกลางเมือง ซื้อบริษัทในไทย และซื้อความสะดวกจากคนใกล้ชิดการเมือง
สิ่งเดียวกันกัน ย่อมสามารถ “ซื้อเสียง – ซื้อคะแนน” และ “ซื้ออนาคตทางการเมือง” ได้ไม่ยากเช่นกัน???
เมื่อใดก็ตาม ที่…นักการเมืองไทยคนใดคนหนึ่ง? เข้าไปอยู่ในวังวนและภายใต้ร่มเงาของทุนสีเทา! ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่?
ระบบประชาธิปไตยจะถูกบิดเบี้ยวทันที!!!
เพราะ “ผู้ที่ควบคุม” นักการเมืองไทย ไม่ใช่ประชาชน แต่เป็น…เครือข่ายเงินนอกระบบจากต่างแดน
ที่สำคัญ คนเหล่านี้…ไม่ได้สนชาติบ้านเมือง, ไม่สนประชาชน และไม่สนแม้แต่ผลประโยชน์ของรัฐบาลแต่อย่างใด???
สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ คือ “ความคุ้มกัน” และ “ช่องทางหมุนเงิน” เพื่อขยายเครือข่ายต่อไป…
เมื่อ…เงินสกปรก ถูกแอบนำมาหนุนหลังการเมืองไทย? ประเทศ…ก็มีความเสี่ยงสูง! ที่จะเดินเข้าสู่ภาวะ “รัฐถูกซื้อ” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศรอบ ๆ ไทย
“อำนาจรัฐ” เป็นเพียงเครื่องมือกำบังของเครือข่ายอาชญากรรม!!??
ตัวเลือกในเชิงนโยบาย…ไม่ได้ถูกกำหนดตามผลประโยชน์ของชาติ แต่ถูกกำหนดขึ้นตามผลประโยชน์ของ “ผู้ที่จ่ายเงินใต้โต๊ะ” ให้มากที่สุด???
และที่สุดแล้ว…ผู้ที่จ่ายค่าโง่ในราคามหาศาล คงหนี้ไม่พ้น ประชาชนคนไทย…ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้แม้กระทั่งว่า…
ตัวเองกำลังถูกหลอกทั้ง 2 ชั้น!!!
ชั้นแรก…จากสแกมเมอร์ และ ชั้นที่ 2…จากนักการเมืองที่รับเงินสกปรกเหล่านั้นมา
ปฏิบัติการยึดทรัพย์ครั้งนี้ จึงอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่ทำให้เราเห็นส่วนเล็ก ๆ ของปัญหา???
แต่สิ่งที่ ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ คือ…โครงสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับทุนเทาอย่างแยบยล จนแม้แต่…หน่วยงานรัฐ, ส.ส. หรือแม้กระทั่ง รัฐบาลเอง ก็อาจไม่รู้ว่า…
มีบางเครือข่าย? กำลังกำหนดทิศทางของประเทศ…ผ่านเงินที่มองไม่เห็น???
ในขณะที่ประชาชนจับตาว่า…รัฐบาลจะเดินหน้าปราบปรามอย่างต่อเนื่องหรือไม่? สิ่งที่เราควรถามควบคู่ไปด้วย ก็คือ…
ประะเทศไทยมีระบบป้องกันเงินสกปรกเข้าสู่การเมืองจริงหรือไม่?
เรามีระบบกำกับการใช้ เงินคริปโตฯ ในการหาเสียงหรือเปล่า?
แล้วจะมีวิธีตรวจสอบว่าผู้สมัครรับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศย่างไร?
หรือสุดท้ายแล้ว…การเมืองไทยกำลังค่อย ๆ ถูกซื้อทีละชั้น โดยทุนข้ามชาติ ที่ไม่ต้องตั้งพรรค! ไม่ต้องลงสมัคร!
แค่ “ซื้อนักการเมือง” ไว้สักคน 2 คน??? ก็เพียงพอจะกำหนดเป้าหมายประเทศได้แล้ว!!!
เพราะในวันที่ “รัฐไทย” ยึดทรัพย์ได้หมื่นล้าน! ทว่า…สิ่งที่ยังไม่ถูกยึด คือ “อำนาจ” ของเครือข่ายที่ทำงานเหมือน “เงามืด” ที่แอบซ่อนตัวอยู่…หลังผ้าม่าน…หลังเรือยอชต์..หลังบัญชีคริปโต
และอาจอยู่หลัง นักการเมืองบางคนที่? ประชาชนกำลังจะเลือกในวันเลือกตั้งครั้งหน้า…
และ คำถามที่ใหญ่กว่านั้น ก็คือ…
แล้วเราจะ “ยึดประเทศ!” กลับมาจาก “ทุนเทา” ได้จริงแค่ไหน? ก่อนที่พวกมันจะยึดอนาคตของคนไทยทั้งประเทศ ผ่านนักการเมืองขายตัวบางคน!!??.






