Game Changer

(“น้ำท่วมสงขลา 2568: วิกฤตที่สะท้อน “ปัญหาโครงสร้าง” การสั่งการของรัฐไทย กับ “บทบาทใหม่” ของภาคประชาชน ยุค AI”)

วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่สงขลา เป็นมากกว่าภาพสะท้อนความรุนแรงจากพิบัติภัยธรรมชาติ แต่มันเปิดโปง “ระบบสั่งการ” สุดล้าหลังของรัฐไทย? ชี้ชัดว่า “ประชาชน – อาสา –AI” ทำงานเร็วและเข้าถึงพื้นที่ได้ดีกว่าโครงสร้างราชการที่ซ้ำซ้อน นับจากนี้…จำต้องยกระดับสู่ “ระบบภัยพิบัติแห่งชาติ” ที่มีศูนย์บัญชาการจริง แทนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ยึดตัวบุคคล สิ่งนี้ อาจนำไปสู่วลีใหม่ Game Changer เกมที่จะเปลี่ยนทุกสิ่ง ตั้งแต่…กติกา, วิธีคิด และวิธีทำงานแบบเดิมๆ
อุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างในปลายปี 2568 จะถูกจดบันทึกเอาไว้ ในทำนอง…ไม่ใช่เพียงเพราะตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบที่มากกว่า 2 ล้านคน
แต่เพราะเป็น…วิกฤตที่ทำให้ประเทศไทย ต้องหันกลับมาพิจารณา “โครงสร้างการสั่งการของรัฐไทย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!!
ต่อปัญหา…ความล่าช้าและช่องโหว่ของระบบราชการ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังปรากฏ “มิติของสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่มีความสำคัญยิ่งยวด! ต่อสภาพจิตใจของสังคมในห้วงเวลาแห่งความสูญเสียและความไม่แน่นอน
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสแสดงความห่วงใย และรับสั่งให้ทุกหน่วย ทั้งฝ่ายพลเรือน เหล่าทัพ ตำรวจ และหน่วยราชการ ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน
พระราชดำรัสนี้ ทำหน้าที่เป็นเสมือน “จุดศูนย์รวมความหวัง” ในห้วงเวลาที่ประชาชนจำนวนมาก รู้สึกว่า…ระบบราชการกำลังสับสนและการสั่งการยังไม่ชัดเจน
ในเชิงยุทธศาสตร์ พระราชดำรัสครั้งนี้ ได้ส่งผล 2 ระดับสำคัญ กล่าวคือ…
หนึ่ง…ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น! ในท่ามกลางความโกลาหล เพราะ…สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แสดงบทบาทประคับประคองสังคมไทย เอาไว้อย่างชัดเจน
และ สอง… ทำให้รัฐบาลต้องเร่งปรับตัวทันที! เนื่องจากพระราชดำรัส ถือเป็น “คำสั่งระดับสูงสุด!” ที่ต้องถูกนำไปปฏิบัติอย่างไม่อาจรอช้า
จุดนี้…ช่วยฟื้นเสถียรภาพความเชื่อมั่นของสังคมไทยได้ระดับหนึ่ง ทีเดียว!!!
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยิ่งจะสะท้อนว่า…การสั่งการของรัฐบาลก่อนหน้านั้น ยังไม่พร้อมรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่ และไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจนในการรับคำสั่งหรือบูรณาการทรัพยากรให้ทันการณ์
เมื่อมองผ่านกรอบนี้ เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากฝนที่มากผิดปกติเท่านั้น หากแต่มีมิติของความล่าช้า ความสับสน และช่องว่างระหว่างระบบราชการ กับสถานการณ์จริงที่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
ในอีกด้านหนึ่ง มันกลับสะท้อน “พลังใหม่” ของภาคประชาชน, เครือข่ายอาสา รวมถึง การใช้ “เทคโนโลยี AI” ที่สามารถค้นหา คัดกรอง และส่งต่อ “ข้อมูล” ของผู้ประสบภัย ได้เร็วกว่า…ดำเนินการของรัฐ ซึ่งยังติดอยู่ในแบบแผนเก่า และระบบสั่งการที่ “ซ้อนทับ” กันมานานหลายสิบปี
ช่วงกลางวิกฤต…มีภาพการ “แจ้งขอความช่วยเหลือ” ผ่านโซเชียลมีเดียจำนวนมหาศาล ประชาชนโพสต์พิกัด และตะโกนขอความช่วยเหลือ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลาย
มีการใช้…เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ มากมาย โดยเฉพาะ แพลตฟอร์ม X, Facebook, TikTok ฯลฯ
เหล่านี้…ถือเป็นเสมือน “ศูนย์แจ้งเหตุ” ของภาคประชาชน
ในขณะที่ “ระบบเตือนภัย” และ “การสื่อสาร” อย่างเป็นทางการของรัฐ ไม่สามารถรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนทุกชั่วโมงได้
ท่ามกลางความโกลาหลนี้…กลุ่มอาสาสมัคร, นักพัฒนา และภาคประชาชน ต้องทำงานอย่างหนักตลอดทั้งคืน มีการใช้ระบบ AI มาช่วย “คัดกรอง” ข้อความนับหมื่น เพื่อ “จัดลำดับ” ความเร่งด่วน! ให้ “ทีมภาคสนาม” ได้เข้าไปช่วยผู้คนได้ทันท่วงที
ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นพร้อมกับ “ภาพโครงสร้าง” การสั่งการของรัฐ…ที่ไม่สามารถจะ “รวมศูนย์ข้อมูล” ได้เลย!!??
แม้รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) จะตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจ” ขึ้นมาแล้วก็ตาม
นี่คือ “จุดพลิกผันสำคัญ!” ที่สะท้อนว่า…ภาคประชาชนได้ก้าวไปไกลกว่าโครงสร้างรัฐไทยในหลายมิติ และหลายช่วงตัวนัก???
หากภาครัฐ “ไม่ยกระดับ” วิธีคิด และวิธีบริหารให้สอดคล้องกับ…พฤติกรรมและเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่ แล้วล่ะก็…
วิกฤตแบบนี้…จะเกิดซ้ำและรุนแรงขึ้น! ในทุกครั้งที่ประเทศ ต้องเผชิญมหันตภัยทางธรรมชาติขนาดใหญ่ในอนาคต
ในทางการเมือง…เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ จ.สงขลา ทำให้เห็นชัด! ถึงปัญหาการสื่อสารและการสั่งการที่ขาดเอกภาพ!!??
แม้ รัฐบาลได้จัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำ” และมอบหมายให้ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่น รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรฯ กำกับงาน ในฐานะ “ผอ.ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ” เพื่อดูแลงานน้ำท่วมระดับชาติ บูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับประเทศ…
แต่เมื่อ สถานการณ์เข้าสู่ระดับวิกฤตจริง! การประกาศพื้นที่ “สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4)” จึงกลับมาพร้อมกับ…การแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ขึ้นมาเป็น…ผู้บัญชาการเหตุการณ์นี้ โดยรับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์” ในพื้นที่สงขลาโดยตรง
แสดงถึง…เหตุผลและความจำเป็นที่รัฐบาล ต้องดึง “กองทัพ” มาควบคุมพื้นที่เป็นการเฉพาะ เนื่องเพราะ “ระบบเดิม” ไม่อาจจะรองรับการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และไม่สามารถจะ “บูรณาการ” ข้อมูลและทรัพยากรได้เพียงพอ
โครงสร้างที่ถูกวางไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น…ศูนย์น้ำระดับชาติ, ศูนย์บัญชาการที่กรมการปกครอง (ปภ.) และ คำสั่งจาก…ผู้บริหารระดับกระทรวงหลายหน่วยงาน ฯลฯ
ได้กลายเป็น “ภาพซ้อนทับ” ที่คลุมเครือ? จนเกิดคำถามเชิงสาธารณะ ว่า… “ใครกันแน่ คือ…คนนั่งหัวโต๊ะ” คอยบัญชาการในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้???
คำถามนี้…ไม่ใช่เพียงเรื่องการเมือง แต่สะท้อน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ฝังลึกในระบบราชการไทยมานาน
อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้…ไม่ใช่โจมตีบุคคลใดเป็นพิเศษ แม้ชื่อของ รอ.ธรรมนัส ในฐานะ “ผู้กำกับดูแลน้ำ” ของรัฐบาล ซึ่งควรจะเล่นบท “แม่ทัพวางระบบ” คอยบัญชาเกมและสั่งการให้ทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม
แต่กลายเป็นว่า…ตัวเขาต้องบินลงไปในพื้นที่น้ำท่วม สร้างประเด็นข้อถกเถียงในเรื่องของ “การสั่งการ”
แต่ทว่า…ปัญหาที่ใหญ่กว่านั่น??? ก็คือ “ตัวระบบ” ที่ไม่เอื้อให้เกิดความคล่องตัว ไม่สามารถจะ “รวมศูนย์ข้อมูล” และไม่สามารถตัดสินใจรวดเร็ว! ในแบบที่การแก้ไขปัญหา “ภัยพิบัติยุคใหม่” ต้องการ
การที่รัฐบาล…จำต้องแต่งตั้งให้ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ขึ้นมาแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ จึงเป็นทั้งการแก้เฉพาะหน้า และเป็นการยอมรับกันตรงๆ ว่า…
โครงสร้างก่อนหน้านั้น ไม่สามารถรองรับวิกฤตได้เต็มที่!!!
น้ำท่วมสงขลา 2568 จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ธรรมชาติ แต่คือ “วิกฤตด้านการกำกับดูแล (governance crisis)” ที่เผยให้เห็นถึงความ “ซ้ำซ้อน!” ระหว่างหน่วยงาน
รวมถึง…ความไม่ชัดเจนของสายบังคับบัญชา และการสื่อสารที่ล่าช้า! จนประชาชนต้องใช้ “โซเชียลมีเดีย” เป็นแพลตฟอร์ม…ร้องขอชีวิต!!!
ภาคประชาชน…กลับกลายเป็น “กลไกคู่ขนาน” ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าหน่วยงานภาครัฐ ทั้งทางด้าน…ข้อมูล, ความเร็ว และความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ
เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงเป็น Game Changer ของการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย!!! และ ทำให้ภาครัฐ…ต้องเลิกคิดว่าตนเป็น “ผู้เล่นหลักแต่เพียงฝ่ายเดียว” อีกต่อไป…
อีกทั้งยังจะต้อง เริ่มผนวก…เครือข่ายอาสา, เทคโนโลยี AI และภาคประชาชน ให้เป็น “ส่วนหนึ่ง” ของระบบในการแก้ไขปัญหาพิบัติภัยทางธรรมชาติ
ไม่ใช่…เส้นทาง “คู่ขนาน” อีกต่อไปแล้ว???
ภาครัฐ…จำเป็นจะต้องสร้าง “ศูนย์บัญชาการแห่งชาติ” ที่แท้จริง!
เพื่อเป็น “หน่วยงานรัฐ” ที่มีข้อมูลเดียว, คำสั่งเดียว และสามารถประสานงานได้อย่างเป็น “เอกภาพ” ทั้งการสั่งการและประสานกับหน่วยงานราชการ, ท้องถิ่น, เหล่าทัพ, ภาคเอกชน และอาสาสมัครภาคประชาชน
เหนือสิ่งอื่นใด??? ประเทศไทย…จำเป็นต้องมี “คัมภีร์บริหารภัยพิบัติแห่งชาติ” ที่ปรับใช้ได้จริงๆ!!!
ไม่ใช่มีเพียง…เอกสารตามกฎหมาย และ ต้องทำให้เป็น “ระบบ” ที่สามารถ “เชื่อมต่อ” แผนยุทธศาสตร์…เข้ากับ “การปฏิบัติการ” ในพื้นที่จริงอย่างลื่นไหล
และสามารถทำงานได้ทันที…ที่วิกฤตเกิดขึ้น!!??
น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ จ.สงขลาในปี 2568 นี้ ไม่ได้ทำให้ สังคมไทย…ได้มองเห็นเพียง “ข้อจำกัด” ของภาครัฐเท่านั้น หากแต่ยังทำให้เห็นถึง “ศักยภาพ” ของภาคประชาชน รวมถึง…ความจำเป็นของการสั่งการที่รวดเร็ว และความเสี่ยงของระบบที่ต้องพึ่งบุคคลมากกว่าระบบ!!!
วิกฤตภัยธรรมชาติในครั้งนี้…จึงเป็น “บทเรียนแห่งชาติ” ที่บอกพวกเราว่า…ประเทศไทยจะไม่สามารถเดินต่อด้วยโครงสร้างแบบเดิม! ได้อีกต่อไป?
หากต้องการให้ “ภัยพิบัติ…ครั้งหน้า” ไม่ต้องรอ “ฮีโร่เฉพาะหน้า” แต่มี “ระบบที่ทำงานได้เอง” อย่างแท้จริง!!??
จำเป็นเหลือเกินที่…ภาครัฐ โดยเฉพาะ “รัฐบาล 4 เดือน” ของ นายกฯอนุทิน ซึ่งยังพอจะมีเวลาเหลือ จะได้ ปรับ…กลยุทธ์ใหม่ มุ่งสู่เหตุผลและความจำเป็นใน การปรับตัว ให้เข้าสู่วิถี Game Changer ของการบริหารจัดการปัญหาภัยพิบัติไทยกันใหม่…
กันแบบยกเครื่อง!!!.






