Scammer Empire


2 พ่อลูกตระกูลฮุน หลอกได้เฉพาะแค่ “คนเขมร” ในประเทศตัวเอง…อดีตของพวกเขา คือ ผู้สร้าง Khmer Empire ทั้งที่ความเป็นจริง! สิ่งนี้ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่มีอยู่จริงและเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ Scammer Empire ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราชและอธิปไตย นำสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
หลอกคนในชาติ…ง่ายกว่าหลอกโลก!!! กับวลี “จอมปลอม”…จักรวรรดเขมร หรือ Khmer Empire!!!
จักรวรรดอันยิ่งใหญ่ แผ่ราชอาณาจักร ได้ไกล…ไพศาล? ไปทั่วทั้ง “อนุทวีป” แห่งดินแดนสุวรรณภูมิ
รู้กันทั้งโลก! เขมรไม่ใช่ “ขอม…ชนชั้นปกครอง” เป็นได้แค่…ทาสแรงงานของ “เจ้าขอม” เท่านั้น…
เรื่อง Khmer Empire ที่ คนเขมร… โดน พ่อลูกตระกูลฮุน “ตกกาว” จนมึนไปทั้งชาติ? กระทั่ง หลงเชื่อคำพกลม “ยิ่งใหญ่ระดับจักรวรรด” ทั้งที่มันไม่เคยมีอยู่จริง!!!
ไม่มีชนชาติทาสใด? จะกลับมายิ่งใหญ่ได้ หรือถ้าทำได้…ก็คงไม่นานพอจะสร้างหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเอง
ถ้า เขมร คือ ขอม ป่านนี้…คนทั้งโลก คงได้เห็น โบราณสถาน…หลังยุค “ขอมรุ่งเรือง” เหมือนที่เคยสร้างปราสาทนครวัด-นครธม ไปแล้ว…
ทุกวันนี้…ลองไปดู สภาพบ้านเมืองของเขมรปะไร! มีแต่ลอกเลียนโบราณสถานและอารยธรรมของสยาม แทบยกมาทั้งกระบิ!!!
วันนี้…นอกจากเขมร จะไม่เคยเป็น Khmer Empire กลับจะถูกประณามจากคนทั่วโลกว่าเป็นดินแดนแห่ง Scammer Empire ด้วยซ้ำ…
เขมร…เมืองหลวงแห่งธุรกิจสแกมเมอร์และการหลอกลวงของโลก!!??
มันคือเรื่องจริงอย่างที่สุด!!!
เขมร หรือ กัมพูชา ในปัจจุบัน…ถูกมองจากทุกสายตาของโลก ไม่ต่างจาก “อาณาจักรแห่งสแกมเมอร์” (Scammer Empire) ที่มีเครือข่าย อาชญากรรมไซเบอร์ ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ข้ามชาติ ขยายตัวอย่างลึกซึ้ง
จนกระทั่ง หลายประเทศต้องออกมาตรการคว่ำบาตรและเตือนภัยอย่างเป็นทางการ!!!
สิ่งที่เกิดขึ้น…ไม่เพียงกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ยัง “สั่นสะเทือน…อธิปไตยและความชอบธรรม” ของรัฐบาลกัมพูชา ในระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุด!”
นับตั้งแต่ “ยุค…ล่มสลาย! ของจักรวรรดิขอม” เพราะน้ำมือของ บรรพบุรุษ…ทาสเขมร! เลยทีเดียว
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ชื่อของเมืองชายแดนอย่าง…สีหนุวิลล์ ปอยเปต บาเว็ต ฯลฯ แม้กระทั่ง เมืองหลวง อย่าง…พนมเปญ ได้กลายเป็นพื้นที่ที่ “สื่อสากล” เรียกขานว่าเป็น…
“คอมพาวด์แห่งการหลอกลวง” (Scam Compounds)
โดยมี…แรงงานต่างชาติจากจีน เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย ลาว และอินโดนีเซีย ถูกล่อลวงเข้ามาทำงานในลักษณะ “บังคับและยึดหนังสือเดินทาง” บีบให้ต้องทำการ “หลอกลวงทางออนไลน์” ตลอด 24 ชั่วโมง
รายงานที่น่าเชื่อถือ ระบุว่า…มีเหยื่อชาวต่างชาติ ถูกทุบตี ขายต่อ หรือเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก ซึ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International และ UNODC ระบุว่าเป็น…
“รูปแบบใหม่ของการค้ามนุษย์เพื่อผลประโยชน์ทางการเงินดิจิทัล”
จาก Prince Group ถึง Huione Group : เครือข่ายทุนสีเทาและการคว่ำบาตรระลอกใหม่
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชุมชนโลกจับตากัมพูชาอย่างเข้มข้น! คือ การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ประกาศคว่ำบาตร ( Sanctions ) และอายัดทรัพย์สิน ของ นายเฉิน จือ ( Chen Zhi ) นักธุรกิจเชื้อสายจีน–อังกฤษ–กัมพูชา ซึ่งเป็น ประธานเครือข่าย Prince Group และบริษัทลูกหลายสิบแห่ง
โดยระบุว่าเป็น “เจ้าของเครือข่ายสแกมระดับโลก” ที่ฟอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านอสังหาริมทรัพย์ คาสิโน และคริปโตเคอร์เรนซี
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ( US Department of the Treasury ) และ FinCEN ได้เผยแพร่…รายชื่อบริษัท และบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะ “ธุรกรรมสีเทา” หรือ Grey Economy ซึ่งกระทบต่อ ระบบการเงินของกัมพูชาโดยตรง
เพราะประเทศนี้…ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็น “สกุลหลัก” ในตลาดภายใน เมื่อธนาคารต่างชาติ เริ่มระแวดระวัง กระทั่ง เกิดภาวะ de-risking ( การลดความเสี่ยงโดยตัดคู่ค้า ) ทำให้การหมุนเวียนเงินทุนชะลอตัวและสร้างแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน!!!
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย ได้ส่ง คณะเจ้าหน้าที่และตำรวจเข้าสืบสวน และช่วยเหลือแรงงานของตนที่ถูกหลอกไปทำงานในคอมพาวด์กัมพูชา
โดย ทางการเกาหลีใต้ ถึงขั้นออก “โค้ดแบล็ก” ห้ามประชาชนเดินทางเข้าไปในบางจังหวัดของกัมพูชา หลังข้อมูลเชิงลึก ระบุว่า…มี ผู้สูญหายมากกว่า 80 คน
ขณะที่ รัฐบาลญี่ปุ่นและจีน ก็ประกาศจับมือร่วมกันปราบปรามเครือข่ายสแกมที่มีฐานอยู่ในกัมพูชาเช่นเดียวกัน
แม้ รัฐบาลกัมพูชา จะอยู่ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ฮุน มันเนต (Hun Manet) บุตรชายของ…อดีตผู้นำยาวนาน อย่าง…นายฮุน เซน (Hun Sen)
แต่แรงกดดันจากนานาชาติ…กลับพุ่งตรงมาที่ “ตระกูลฮุน” นั่นเพราะ…เครือข่ายทุน และกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศ ต่างถูกกล่าวหาว่า…เกี่ยวพันกับ “ธุรกิจสีเทา” หลายแห่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ…รัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะ ในยุคของพ่อ!!!
องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty และ Global Witness เผยแพร่รายงานเชื่อมโยงว่า… มี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ รวมถึง สมาชิกในครอบครัวผู้นำ มีหุ้นหรือผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจสีเทา”
แม้ รัฐบาลกัมพูชา จะปฏิเสธ! แต่การที่ มหาอำนาจตะวันตก ออกมาตรการคว่ำบาตร โดยระบุชื่อ บริษัทในเครือของ Prince Group และ Huione Group ว่า…มีความเกี่ยวข้องกับ “ทุนการเมือง”
ประเด็นเหล่านี้…ล้วนทำให้เกิดแรงกดดันทางศีลธรรมและการทูต อย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น!!!
แม้ นายฮุน มันเนต จะพยายาม “สร้างภาพใหม่” ในฐานะ “ผู้นำรุ่นใหม่” ที่ต้องการ “ล้างมรดกสีเทา” แต่ก็ถูกท้าทายด้วย “เงาของอำนาจเดิม” ที่ยังฝังรากลึก ในระบบราชการ ทหาร และภาคธุรกิจ
การจะดำเนินคดีต่อ “เครือข่ายใหญ่” ที่โยงกับชนชั้นนำ จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่เป็น “เดิมพัน” ในทางการเมืองระดับรากฐานของระบอบฮุน เซน ไปด้วย
นักวิเคราะห์หลายสำนัก เรียกสถานการณ์ข้างต้นของกัมพูชาว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของ State Capture หรือ “รัฐที่ถูกกลุ่มผลประโยชน์เข้าครอบงำ”
เมื่อ อำนาจทางการเมือง และ อำนาจทุน หลอมรวมกัน กลไกรัฐจะไม่สามารถทำหน้าที่ควบคุมทุนได้อีกต่อไป
ในทางกลับกัน! ทุนจะเป็น “ผู้กำหนดนโยบาย” เลือกกฎหมายที่เอื้อต่อธุรกิจของตน และใช้กลไกการทุจริตในการคงอำนาจของตัวเองและพวกพ้องเอาไว้…
ธุรกิจคาสิโน อสังหาริมทรัพย์ และฟินเทค ที่กัมพูชา “เปิดเสรี” ในช่วงสิบปีหลัง ได้ “ดึงดูด” กลุ่มทุนจีน ทุนสิงคโปร์ ทุนมาเลเซีย และทุนท้องถิ่น…อย่างมหาศาล
แต่การขาด “ระบบตรวจสอบ” และบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ทำให้ธุรกิจเหล่านี้…กลายเป็นแหล่งฟอกเงิน และจุดเริ่มต้นของเครือข่ายสแกม
จนเกิดสิ่งที่ นักเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า “เศรษฐกิจหลอน” (Ghost Economy) คือ มีเงินหมุนเวียนมหาศาล แต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รัฐ อีกทั้งยังจะ…สร้างความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง! ต่อสังคมกัมพูชา
เมื่อ อำนาจทางเศรษฐกิจถูกทุนสีเทาครอบงำ รัฐบาลจึงมีแรงจูงใจน้อยที่จะกวาดล้างอย่างแท้จริง!!!
ด้วยเหตุผลเดียว…นั่นเพราะ พวกเขากลัวผลกระทบต่อระบบการเงินภายใน!!??
นี่คือ…จุดที่ “เอกราชทางเศรษฐกิจ” ของกัมพูชาถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง!!!
กระทั่ง นักวิเคราะห์ชาติตะวันตกบางรายชี้ว่า…“กัมพูชา คือ ประเทศที่กำลังเป็น “ผู้เช่า” ที่ดินของตนเองในระบบทุนต่างชาติ”
การที่ ทางการสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป ใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น OFAC และ FinCEN อายัดทรัพย์สินและตัดการเข้าถึงระบบดอลลาร์ ถือเป็นการกดดันที่ “กระทบ” ต่ออธิปไตยของกัมพูชาโดยตรงและรุนแรง!!!
เพราะประเทศนี้ ใช้ “เงินดอลลาร์” เป็นหลักในการหมุนเวียน เมื่อการ โอนเงิน ลงทุน หรือ การชำระเงินระหว่างประเทศ…ถูกชะลอ
ย่อมกระทบต่อระบบเศรษฐกิจภายในทันที!!!
ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันจากจีน…ประเทศคู่ค้าหลัก ก็เริ่มชัดเจนขึ้น! เพราะจีนเอง…ก็ต้องสูญเสียภาพลักษณ์จากการที่ “แรงงานจีน” จำนวนมาก ต่างก็ถูกหลอกให้ไปทำงานอยู่ใน…ศูนย์สแกม ไม่ต่างกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ…
รัฐบาลปักกิ่ง จึงเริ่มกดดันให้กัมพูชา “จัดการให้เด็ดขาด” ไม่เช่นนั้น…อาจกระทบต่อ โครงการลงทุนในอนาคต เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ หรือ โครงการ Belt and Road ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาโดยตรง
ในอีกด้านหนึ่ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ต่างประกาศพร้อมร่วมมือกับจีนในการดำเนินคดี และช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกกักขังในกัมพูชา
สิ่งนี้…ทำให้ “ปัญหาสแกม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องอาชญากรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็น…ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงกับสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงระดับภูมิภาค
กัมพูชาในปัจจุบัน อาจยังมี…ธงชาติ รัฐสภา และรัฐบาลที่ปกครองตนเอง แต่ในมุมมองของ นักรัฐศาสตร์ แล้ว อธิปไตย…ไม่ได้หมายถึง เพียงการมีอำนาจเหนือดินแดน หากหมายถึง “ความสามารถในการตัดสินใจโดยอิสระ”
และสิ่งนี้…กำลังถูกบั่นทอนจากทั้งแรงภายนอกและภายใน!!!
ภายนอก คือ…แรงกดดันจากชาติมหาอำนาจ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ที่ใช้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือกำกับพฤติกรรมรัฐบาล
ส่วน ภายใน คือ…การที่กลุ่มทุนสีเทาแทรกซึมในกลไกอำนาจรัฐ ทำให้ประเทศไม่อาจใช้อำนาจตนเองเพื่อควบคุมหรือลงโทษผู้กระทำผิดได้อย่างแท้จริง
หลายฝ่ายเตือนว่า…หากกัมพูชายังไม่แยกตัวจากทุนผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด! ประเทศก็อาจจะเข้าสู่ภาวะ “สูญเสียอธิปไตยโดยพฤตินัย” (de facto loss of sovereignty)
กล่าวคือ…แม้จะมี รัฐบาลและสัญลักษณ์รัฐ แต่การตัดสินใจหลักจะอยู่ในมือของ “ผู้มีอิทธิพล” และแรงกดดันจากภายนอก!!??
ถึงบรรทัดนี้…ภาพเปรียบระหว่าง คำโกหก “Khmer Empire” ในอดีต กับ ความจริง “Scammer Empire” ในปัจจุบัน ได้สะท้อน…ชะตาวงจรของประเทศกัมพูชาได้อย่างเจ็บแสบ!
ในอดีต…คนเขมร เคยสมอ้างเป็น “จักรวรรดิขอม” ที่เคยรุ่งเรืองสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะ ล่มสลาย! เพราะการ “รวมศูนย์อำนาจ การขยายตัวเกินศักยภาพ และความเสื่อมของระบบการจัดการทรัพยากร”
วันนี้…ประเทศกำลังเผชิญปัญหาลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก การก่อสร้างศาสนสถาน มาเป็นการก่อสร้างอาณาจักรเงินดิจิทัล ที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของแรงงานและเหยื่อทั่วโลก!!!
หาก รัฐบาลกัมพูชาไม่สามารถปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และฟื้นฟูหลักนิติรัฐได้ ผลลัพธ์อาจไม่ต่างจากการล่มสลายอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่ในศตวรรษนี้ ศัตรู…ไม่ได้มาจากกองทัพต่างชาติ แต่มาจากความโลภ การทุจริต และทุนสีเทาที่ฝังรากอยู่ในประเทศเอง!!!
สิ่งที่เป็น “จุดเปลี่ยน!” ของ ชนชาติเขมร นั่นคือ…ความเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราชและอธิปไตย ที่ไม่ใช่แค่เพียงประเด็นทางการเมือง แต่คือ…การทดสอบความสามารถของชนชาตินี้ในการ “สร้างอารยธรรมใหม่” อีกครั้ง
หลังจาก สูญเสีย “ศรัทธา” ในระบบเก่า? รัฐบาลกัมพูชา…อาจมี ทางเลือก 2 ทาง นั่นคือ…
หนึ่ง…เดินหน้าสู่การปฏิรูปและฟื้นฟูอธิปไตยด้วยตนเอง หรือ สอง…ปล่อยให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทุนและอำนาจต่างชาติอย่างถาวร
ประวัติศาสตร์ของ “อาณาจักรขอม” เคยแสดงให้เห็นแล้วว่า…ไม่มีอาณาจักรใด? อยู่ยั้งยืนยง!
แต่บางครั้ง…การล่มสลาย ก็เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการฟื้นเกิดใหม่!
คำถามคือ เมื่อ เขมร ไม่ใช่ “ขอม” และไม่เคยมี Khmer Empire อยู่จริง!
กระนั้น คนเขมร ในยุค “พ่อลูกตระกูลฮุน” ก็ยังเชื่อแบบหัวปักหัวปำว่า… พวกเขาคือผู้สร้าง Khmer Empire อันยิ่งใหญ่ในอดีต…เมื่อพันกว่าปี
เมื่อต้องเผชิญกับ ภาพความเป็นจริง! ใน ยุค Scammer Empire แล้ว รัฐบาลของพวกเขาจะเลือกเส้นทางใด?…
จะยอมให้โลกจารึกตนว่า…เป็นชาติที่สูญเสียทุกอย่างไปกับ “อาชญากรรมไซเบอร์” หรือจะลุกขึ้นมา เปลี่ยนชะตาอีกครั้ง! เพื่อคืนศักดิ์ศรีแห่ง Small Khmer ให้กลับคืนมา!!!
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่มีอยู่จริงในวันนี้ นั่นคือ…กัมพูชา = Scammer Empire!!!.