ตำบลกระสุนตก!


คำเตือนแรง! จาก “วัส ติงสมิตร” นักสิทธิมนุษยชนด้วยกัน กับประโยคสุดคลาสสิก “อะไรที่ไม่ควรจะถูกนำไปเป็นเงื่อนไข เราก็ไม่ควรสร้างมันขึ้นมา!!!” เมื่อกล้าทำ…ก็ต้องกล้ารับคำถามที่ว่า “เป็นแค่เปลือกคนไทยหรือเปล่า?” จากนี้…หากต้องเป็นกลุ่มคน “ตำบลกระสุนตก!” นั่นเพราะพฤติกรรมตัวเองเป็นเหตุ…
สังคมไทยยามนี้ มองเห็น 2 คนไทย…ต่างจุดยืน!!??
คนหนึ่ง…(กันต์ จอมพลัง) ได้รับคำชื่นชมต่อ…แผนปฏิบัติการ “ซาวด์หลอน” ที่เขานำมาใช้ผ่าน “รถแห่” เปิดเสียงโหยหวน และเสียงเครื่องบิน ริมชายแดนไทย–กัมพูชา บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
อีกคนหนึ่ง…(สว.อังคณา นีละไพจิตร) ที่ออกมาแสดงท่าทีในลักษณะคัดค้านและต่อต้าน ผ่านการเผยแพร่การแปลความ…ข้อกฎหมายและเอกสารที่ฝั่งกัมพูชายื่นต่อยูเอ็น (OHCHR) โดยอ้างว่า…ที่ตนทำไป เพื่อต้องการเตือนรัฐไทย อย่าได้สร้างความหวาดกลัว กระทั่งอาจเข้าข่าย “การทรมานทางจิตวิทยา” ต่อ “กลุ่มเปราะบาง” ชาวกัมพูชา
คนหลัง…ถูกสังคมไทยส่วนใหญ่ พากัน…ก่นด่าและประณาม พร้อมตั้งคำถามในทำนอง “เป็นคนไทย…หัวใจเขมร?”
ที่จริง! ไม่ใช่แค่…สว.อังคณา ยังมีคนดังอีกหลายคน? ที่แสดงความคิดเห็นในทิศเดียวกัน หรือสอดรับไปแนวทางใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็น…
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม
หรือแม้กระทั่ง นายณัฐพงษ์ เรื่องปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านฯ
คนเหล่านี้??? ได้ชั่งและถ่วงน้ำหนักของการเรียกร้อง…แทนประชาชนชาวกัมพูชา บนหลักการ “สิทธิมนุษยชน” เทียบกับสิ่งที่คนไทยในพื้นที่บริเวณชายแดน โดยเฉพาะ หมู่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ได้ถูกชาวกัมพูชา…บุกรุกและแย่งที่ดินทำกิน ตลอดระยะเวลายาวนานกว่า 40 ปี…แล้วหรือยัง????
“กันต์ จอมพลัง” ยุติบทบาทของตัวเองลงไปแล้ว พร้อมกับความเสียดายของคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้…
แต่เสียงชื่นชมที่มีตามมา…ยังคงก้องกังวาน!!! เพราะแม้แต่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เอง ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมต่อหน้าสื่อมวลชน ในความเสียสละของ…หนุ่มไทยคนนี้
กลับกัน! เสียงก่นด่า…กับคนอีกฝ่าย ก็ดังกึกก้องไม่แพ้กัน!!!
ประเด็นที่ฉุดดึง! และทำให้ “น้ำหนักความน่าเชื่อถือ” ของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ “กันต์ จอมพลัง” ลดน้อยถอยลง จนอยู่ในระดับที่…ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงเรื่อยๆ จนแทบไม่เหลือกองเชียร์ ก็น่าจะมาจากความเห็นเชิงวิชาการ จาก…นักสิทธิมนุษยชนและวิชาการอิสระ นาม “วัส ติงสมิตร” อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
นายวัส แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ “วัส ติงสมิตร” ทั้งเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) และเมื่อช่วงสายวันนี้ (15 ต.ค.) โดยเฉพาะการหยิบยกเอา…หลักการที่แท้จริงเกี่ยวกับ “การทรมาน” ตามกฎหมายไทยและอนุสัญญา CAT ดังรายละเอียดตามนี้…
หลักเกณฑ์การร้องเรียน องค์กรผู้วินิจฉัย และการผูกพันตามคำวินิจฉัยคดี CAT
ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment – CAT)
1. หลักเกณฑ์การร้องเรียน (Complaint Procedures) อนุสัญญาฉบับนี้เปิดโอกาสให้มีการร้องเรียนเรื่อง “การทรมาน” ได้ 3 ช่องทางหลัก ตามข้อ 20–22 ของอนุสัญญา โดยมีลักษณะดังนี้
1) การร้องเรียนระหว่างรัฐ (ข้อ 21) (1) รัฐภาคีสามารถร้องเรียน “รัฐภาคีอื่น” ที่เห็นว่ามีการละเมิดอนุสัญญา (2) ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่ทั้งสองรัฐได้แสดงยินยอมให้ใช้กระบวนการนี้ไว้ล่วงหน้า (3) เป็นกระบวนการทางการทูต โดยคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (CAT Committee) จะพยายามให้มีการไกล่เกลี่ยก่อน
2) การร้องเรียนโดยบุคคล (Individual Complaint – ข้อ 22) บุคคลหรือกลุ่มบุคคลสามารถยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการ CAT ได้โดยตรง เงื่อนไขสำคัญคือ: (1) ประเทศที่ถูกร้องเรียนต้องเป็นภาคีของอนุสัญญา (2) และต้องได้ให้ “การยินยอมตามข้อ 22” (Declaration under Article 22) แก่สหประชาชาติไว้ก่อน ผู้ร้องต้องใช้ช่องทางภายในประเทศจนหมดสิ้นก่อน (exhaust domestic remedies) คณะกรรมการ CAT จะพิจารณาคำร้องเป็น “การพิจารณาลับ” (confidential procedure)
3) การตรวจสอบเชิงระบบ (Inquiry Procedure – Article 20) (1) หากคณะกรรมการ CAT ได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่ามี “การทรมานอย่างเป็นระบบ (systematic torture)” ในประเทศภาคีใด คณะกรรมการ CAT สามารถทำการสืบสวนลับได้ (2) ใช้ได้เฉพาะกับประเทศที่ไม่ได้สงวนสิทธิตามข้อ 28 (บางประเทศเลือกไม่ยอมรับอำนาจนี้)
2. องค์กรผู้วินิจฉัย: คณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (Committee against Torture – CAT) องค์ประกอบ
1) มีสมาชิก 10 คน
2) เป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมรัฐภาคี
3) วาระ 4 ปี และเลือกใหม่ได้
หน้าที่หลัก…
1) ตรวจสอบรายงานประจำประเทศ (Periodic Reports) – รัฐภาคีต้องรายงานมาตรการต่อต้านการทรมานทุก 4 ปี
2) พิจารณาคำร้องเรียนของบุคคลหรือรัฐ
3) ทำการสืบสวนเมื่อมีหลักฐานการทรมานอย่างเป็นระบบ
4) ให้ข้อเสนอแนะทั่วไป (General Comments) เกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของอนุสัญญา
3. การผูกพันตามคำวินิจฉัย (Legal Effect)
1) คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ CAT ไม่ใช่ “คำพิพากษา” ที่มีผลบังคับตามกฎหมายโดยตรง แต่ถือเป็น “ความเห็นเชิงวินิจฉัย (Views)” ที่มีน้ำหนักทางกฎหมายระหว่างประเทศสูง
2) รัฐภาคีที่ยอมรับกระบวนการตามข้อ 22 มีพันธกรณีทางศีลธรรมและการเมืองระหว่างประเทศ ในการ “พิจารณาอย่างจริงจัง” และ “ดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยา” ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ CAT
3) หากประเทศเพิกเฉย อาจส่งผลให้: (1) ถูกวิพากษ์ในรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (2) เสียภาพลักษณ์ในเวทีสิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review – UPR) (3) ถูกใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องในกลไกสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคหรือในศาลระหว่างประเทศ
4. ตัวอย่างประเทศที่ยอมรับกระบวนการร้องเรียนส่วนบุคคล (ณ ปี 2024) กว่า 70 ประเทศให้การยินยอมตามข้อ 22 แล้ว เช่น แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สวีเดน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย
ประเทศไทยและกัมพูชา ยังไม่ได้ให้คำประกาศตามข้อ 22 ดังนั้น บุคคลในไทยและกัมพูชายังไม่สามารถร้องเรียนโดยตรงต่อคณะกรรมการ CAT ได้ แต่สามารถร้องเรียนผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) หรือ ผ่านกระบวนการ UPR ได้
โดยก่อนหน้านี้ นายวัส ได้แสดงความเห็นกรณี “ซาวด์หลอน” กับการที่นักสิทธิฯทั้งหลายได้ออกมาตั้งคำถามทางกฎหมาย ทำนอง…
“เข้าข่ายการทรมานทางจิตใจ (mental torture)” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกหรือไม่?
และเป็นเขาที่ตอบคำถามนี้ ตามนี้…
1) ตามกฎหมายไทย การกระทำทรมานจะมีความผิดอาญา หากกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) ให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคำรับสารภาพจากผู้ถูกกระทำหรือบุคคลที่สาม
(2) ลงโทษผู้ถูกกระทำเพราะเหตุอันเกิดจากการกระทำหรือสงสัยว่ากระทำของผู้นั้นหรือบุคคลที่สาม
(3) ข่มขู่หรือขู่เข็ญผู้ถูกกระทำหรือบุคคลที่สาม หรือ
(4) เลือกปฏิบัติไม่ว่ารูปแบบใด และผู้กระทำต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 5) โดยมีโทษเริ่มต้น ตั้งแต่จำคุก 5 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 300,000 บาท
2) ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี “การทรมาน” หมายถึง การกระทำใด ๆ โดยเจตนาที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส (severe pain or suffering) ไม่ว่าทางร่างกายหรือทางจิตใจ ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศหรือคำรับสารภาพ — และที่สำคัญ ต้องเป็นการกระทำ “โดยความยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ” (ข้อ 1 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ)
3) เมื่อปรับข้อเท็จจริงแล้ว กรณีนี้ แม้จะมีการกระทำโดยเจตนาเพื่อ “ทำให้ผู้อื่นตกใจหรือหวาดกลัว” แต่ผู้กระทำไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผลที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “ความตกใจ” ชั่วคราว ยังไม่ถึงขั้น “ทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างร้ายแรง” ทั้งไม่มีการกระทำใดๆ โดยมีวัตถุประสงค์ตาม (1) ถึง (4) ของมาตรา 5 ตามกฎหมายไทย หรือข้อ 1 วรรค 1 ของกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก
ดังนั้น กรณีจึงยังไม่ครบองค์ประกอบของการกระทำทรมาน! ตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก
4) การที่คนสัญชาติไทยนำข้อความอันเป็นเท็จของทางการกัมพูชา ที่กล่าวหาว่า หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อ และอยากฟังว่ารัฐบาลไทยจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก นั้น
มีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ว่า “ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร”???
ที่ต้องลากยาวมาครบทุกถ้อยความ เพราะมันมีประเด็นสำคัญที่ต้องคุยกัน นั่นคือ…
สิ่งที่ “กันต์ จอมพลัง” ทำไปนั้น…ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน “ทรมาน” ทั้งตาม พ.ร.บ.ไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ
เรื่องพรรค์นี้ คนระดับ…สว.อังคณา, สส.นายกัณวีร์ และ หัวหน้าเท้ง – ณัฐพงษ์ รวมถึง พลพรรคสีส้ม ไม่รู้???? หรือรู้…แต่ไม่ใส่ใจ!!!
ก็ไม่แปลก หาก อดีตประธาน กสม. จะตั้งคำถามถึงเหตุอันควรสงสัย????…“ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร” หรือเปล่า???
แน่นอนว่า…เรื่องนี้ ฝ่ายเขมร ตั้งแต่ระดับ…รัฐบาล กองทัพ หน่วยงานรัฐ องค์กรสิทธิ์ แม้กระทั่ง อินฟลูเอ็นเซอร์ ต่างหยิบยกความเห็นของคนไทยบางคน? ที่ยืนในฝั่งตรงข้ามกับคนไทยส่วนใหญ่ ไปเป็น…เหตุผลอ้างอิงและสนับสนุนข้อเรียกร้องของตัวเอง
ทั้งนี้ ในโลกออนไลน์ และวงวิชาการ…มีการตั้งคำถามถึง “เส้นแบ่ง!” ระหว่าง “สิทธิมนุษยชน” กับ “ความมั่นคงของชาติ” ว่า…ควรยืนอยู่ตรงไหน?
นักสิทธิมนุษยชนบางคน? ชี้ว่า…การเปิดเสียงหวาดกลัว แม้จะอยู่ในอาณาเขตไทย แต่หากมีผลกระทบต่อพลเรือนฝั่งตรงข้าม ก็ย่อมเป็น ประเด็นทางจริยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่ควรถูกตรวจสอบ ขณะที่ นักวิชาการบางส่วน? เห็นว่า…การอ้างอธิปไตยไม่ควรถูกใช้เป็น “โล่บังหน้า” เพื่อหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบทางศีลธรรม
แต่ในขณะเดียวกัน เสียงจาก ฝ่ายชาตินิยมและภาคประชาชนชายแดน กลับสะท้อนอีกมุมหนึ่งว่า…“สิทธิมนุษยชนต้องไม่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นชาติ” การเปิดเสียงในพื้นที่ของตนเองไม่ใช่การรุกราน หากแต่เป็นการส่งสัญญาณเตือนเพื่อนบ้านที่ละเมิดข้อตกลงมาหลายครั้ง
ในมุมนี้ “กัน จอมพลัง” จึงถูกยกให้เป็นตัวแทนของความรู้สึก “อัดอั้น” ที่สะสมมายาวนาน…
ภาพของ ชายคนหนึ่ง…ที่ถือไมค์อยู่หน้ารถแห่ กับเสียงโหยหวนที่ดังข้ามแดน จึงกลายเป็นภาพซ้อนของความขัดแย้ง 2 ชุด ระหว่าง….
“สิทธิมนุษยชน vs. ความมั่นคง” และ “หลักกฎหมาย vs. ความรู้สึกของประชาชน”
สะท้อนว่า…สังคมไทยยังไม่หาคำตอบสุดท้ายให้กับความสมดุลนี้ได้…
กระนั้น แม้ปฏิบัติการ “ซาวด์หลอน” อาจหยุดลงไปแล้ว แต่เสียงสะท้อน…ยังดังอยู่ในห้องประชุมการทูต ในรายงานสิทธิมนุษยชน และในใจของประชาชน
กับการตั้งคำถามที่ว่า…“เสียงนั้น…ผิดหรือไม่?” อาจไม่สำคัญเท่ากับการถามว่า…“เราต้องการให้โลกได้ยินเสียงแบบไหนจากประเทศไทย?”
คำเตือนของ…นักสิทธิมนุษยชน อย่าง…. “วัส ติงสมิตร” จึงน่าจะเป็นประโยคสรุปที่ดีที่สุด! ต่อกรณีนี้ นั่นคือ…
“อะไรที่ไม่ควรจะถูกนำไปเป็นเงื่อนไข เราก็ไม่ควรสร้างมันขึ้นมา!!!”
เพราะในโลกที่ ทุกการกระทำ…ต่างถูกจับตามองจากเวทีสากล ดังนัน การรักษาเกียรติภูมิของชาติ อาจไม่ได้อยู่ที่…“เสียงที่ดังที่สุด!”
แต่อยู่ที่…“ความเงียบ…ที่หนักแน่นและมีสติที่สุด!”
หากวันนี้…สังคมไทยจะให้มากกว่าการตั้งคำถาม ที่ว่า “เป็นคนไทย…หัวใจเขมรหรือไม่?” ด้วยการชี้เป้าให้คนกลุ่มนั้น ได้กลายเป็น กลุ่มคน “ตำบลกระสุนตก” ทั้งในทางการเมืองและสังคมไทย
ก็อย่าได้ไปโทษคนไทยส่วนใหญ่แล้วกัน
ตำบลกระสุนตก…นรก! สำหรับกลุ่มคนที่เป็นได้แค่ “เปลือกคนไทย!!!”.