ไม่(พร้อม)คุย!!??

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องหยุดยิง! จากนานาชาติ ไทยยังยืนกราน! “ไม่เปิดโต๊ะ” พูดคุยกับใครทั้งสิ้น? ตราบใดที่ไทยยังเสี่ยงถูกโจมตีจากฝ่ายกัมพูชา ที่ยังคงศักยภาพทางการทหารคุกคามชายแดน “นายกฯอนุทิน” ส่งสัญญาณชัด! จะเริ่มเจรจาได้ ต่อเมื่อ “ฝ่ายตรงข้าม” ไม่ได้เปรียบในสนามรบแล้วเท่านั้น
แม้เหตุ “ปะทะ!” ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา จะถูก “ยกระดับ” ความตึงเครียด ได้อย่างต่อเนื่อง จนหลายฝ่ายหวั่นไหวว่า…
ความสูญเสียอาจลุกลาม!!!
แต่ท่าทีของ “รัฐบาลไทย” กลับเคลื่อนสวนทางสัญญาณหยุดยิง! ที่ถูกกดดันจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น…สื่อที่อ้างคำเสนอของ “นายกฯมาเลเซีย” หรือ แถลงการณ์ของ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการยิงทันที
“รัฐบาลไทย” ตอบโต้ด้วยถ้อยคำสั้นและชัดเจนว่า…ข้อเสนอให้หยุดยิง! ข้างนั้น “ไม่จริง” และฝ่ายไทยจะยัง “ไม่หยุดปฏิบัติการ”
และเป็น นายกฯอนุทิน ที่ย้ำว่า…ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง
การสื่อสารนี้ ชี้ให้เห็นแนวทางที่ไทยต้องการรักษาระเบียบชายแดน ด้วยการควบคุมสถานการณ์ด้วยกำลัง ก่อนพูดคุยด้วยวาจา
ต่อเนื่องจากคำประกาศย้ำ “No ceasefire” ของนายกฯอนุทิน แม้ไม่ได้อธิบายเงื่อนไขลงรายละเอียด แต่การเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มันได้ทำหน้าที่ “อธิบาย” แทนอย่างชัดเจน
โดย ฝ่ายไทย เห็นว่า…การเจรจาจะไม่มีความหมาย ตราบใดที่กัมพูชา…ยังคงมีความสามารถในการโจมตี และยังดำเนินการด้วยพฤติกรรมที่ไทยมองว่าเป็นการยั่วยุ
ทั้งการ นำกำลังพร้อมอาวุธเข้าชายแดนไทย, การเปิดฉากยิงก่อนโดยไม่มีสัญญาณเตือน หรือ การวาง “ทุ่นระเบิดใหม่” จนทำให้ไทยประกาศระงับข้อตกลงเดิม
การที่ “ผู้นำไทย” เลือกสื่อสารกับประชาคมโลก ว่า…ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้อง “ป้องกันตนเองตามสิทธิ”
สิ่งนี้ มันคือการตอกย้ำที่ว่า…การเจรจาไม่ใช่สิ่งที่ไทยปฏิเสธ แต่ไทยจะไม่ยอมเจรจาขณะยังถูกคุกคามด้วยกำลังจริง ๆ เท่านั้น!!!
แม้จะมี “สัญญาณ” จากสื่อกัมพูชาว่า…ที่ปรึกษาของ นายกฯฮุน มาเนต พร้อมพูดคุย แต่ฝ่ายไทย ก็ยังคงยืนกรานว่า “ยังไม่มีการติดต่ออย่างเป็นทางการ” และ การพูดผ่านสื่อไม่ถือเป็นช่องทางเจรจาที่ไทยยอมรับได้
การที่ ฝ่ายไทย…ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “สัญญาณ” ความต้องการเจรจาของฝั่งกัมพูชา จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ ในการรักษาความได้เปรียบของไทย
ด้วยการ…ยืดเวลาการตอบสนอง พร้อมกับให้น้ำหนักกับ “สนามรบมากกว่าการเจรจา” เพื่อให้ สังคมโลก ได้มองเห็นว่า…ไทยเป็นฝ่ายถูกกระทำ และกัมพูชาต่างหากที่ยังเป็นฝ่ายถือกำลังต่อรอง!!??
พร้อมกันนี้ การชี้แจงของ กองทัพบกไทย ที่ย้ำว่า…กัมพูชาเป็น…ผู้เริ่มก่อน ทั้งกรณีการยิงใส่ทหารไทยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม และการใช้อาวุธหนักตลอดหลายวันหลังจากนั้น
มันคือ…หลักฐานที่ฝ่ายไทยใช้วางกรอบในการปฏิบัติการทางการทหารอย่างต่อเนื่อง โดยนับเป็น “ความจำเป็น” มิใช่การเลือกใช้กำลังโดยไม่ยั้งคิด!!!
สิ่งนี้…ได้เชื่อมเข้ากับ “เป้าหมายหลัก” ของรัฐบาล ที่ต้องการจะ “ลดความเสี่ยง” ที่จะมีกับประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดนให้มากที่สุด ด้วยการ ทำลายขีดความสามารถของกัมพูชาในการโจมตี จนกว่า…
“คู่ขัดแย้ง”จะหมดขีดความสามารถทางทหาร
ดังนั้น การหยุดยิง! อาจเป็นการ “เปิดโอกาส” ให้อีกฝ่ายฟื้นกำลัง และกลับมาสร้างแรงกดดันได้ใหม่ เหมือนครั้งก่อน ๆ หน้านี้…
แม้หลายฝ่าย อาจวิจารณ์ว่า ไทยกำลัง “เดินเกมแข็ง” ไม่ต่างจากการ…ปิดประตูการทูต???
แต่ใน กรอบยุทธศาสตร์ความมั่นคง ถือว่า…ฝ่ายไทยได้เลือกใช้หลัก “ความปลอดภัยก่อนความสัมพันธ์” ซึ่งชัดเจนจาก “คำสั่ง” ที่ให้ประชาชนติดตามข่าวจาก…กองทัพเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการ “ตีความ” ที่ออกมาจากต่างประเทศที่อาจคลาดเคลื่อน
การยึดข้อมูลจากรัฐเพียงช่องทางเดียว คือ การลดแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองภายในประเทศ! ที่น่าจะเพิ่มขึ้นทันที…หากไทยถูกมองว่า “อ่อนข้อ” ให้กับฝ่ายกัมพูชา ทั้งที่ปัญหาความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นทุกวัน
การกล่าวอ้างของ นายฮุน เซน ที่ระบุว่า…ไทยเป็นฝ่ายรุกราน กลับยิ่งทำให้ ไทยเลือกย้ำภาพลักษณ์ “ผู้ป้องกัน” รุนแรงยิ่งขึ้น และเป็น ฝ่ายไทย ที่ชี้ว่า…กัมพูชาเป็นฝ่ายฉีกสัญญาหยุดยิงก่อน!
ท่ามกลางความขัดแย้งด้านข้อมูลที่ยังจะมีและดำเนินต่อไปนั้น ฝ่ายไทย ได้มุ่งหน้าไปที่…การสื่อสารบนเวทีนานาชาติ เพื่อรักษาความชอบธรรมของการใช้กำลังอย่างต่อเนื่อง และเพื่อลดแรงกดดันจากประชาคมโลก ไม่ให้ตกลงมาลงที่ไทยเหมือนในอดีต
ขณะเดียวกัน ก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายใช้เวทีเจรจาเป็นเครื่องมือ “เรียกคะแนน” ทางการเมืองภายในของตนเอง
เงื่อนไขที่ไทยวางไว้ในสถานการณ์นี้ จึงไม่ใช่เรื่องลับ! หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริง” ที่เห็นได้จากท่าทีทุกมิติ
ตอกย้ำว่า…ฝ่ายไทยจะไม่คุย! ไม่หยุดยิง! และจะไม่ “ลดระดับ” การปฏิบัติการ! จนกว่า…กัมพูชาจะหมดศักยภาพสร้างภัยคุกคามทางทหาร แล้วเท่านั้น!
ไม่ว่าจะเป็น…กำลังปืนใหญ่, กำลังรบแนวหน้า หรือเครื่องมือสังหารที่ยังซ่อนอยู่ในพื้นที่ชายแดน ฯลฯ
ความหมายของท่าทีนี้ ก็คือ ไทยต้องการวางสถานะตนเองให้เหนือกว่าอย่างเด็ดขาด! ก่อนจะเข้าสู่ “โต๊ะเจรจา” ที่ปลอดจากแรงกดดันใด ๆ
มองจากทัศนคติของ “รัฐบาลอนุทิน” แล้ว การเจรจาที่ปลอดภัยที่สุด! คือการเจรจาเมื่อคู่ขัดแย้ง “ไม่มีอาวุธในมือ” นั่นเอง!!!
แต่นาทีนี้ ฝ่ายไทย…ยังไม่(พร้อม)คุยกับทุกฝ่าย??? เข้าใจตรงกันนะ!!!.






