‘รัฐบาล 4 ด.’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ วางฐานสู่การเมืองวันหน้า

“รัฐบาล 4 เดือน” ของ นายกฯอนุทิน แม้จะผ่านมาได้แค่เพียงครึ่งทาง! ทว่าพวกเขากลับสามารถ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ได้อย่างมีพลัง เห็นผลเป็นรูปธรรมผ่านนโยบาย Quick Big Win และโครงการ คนละครึ่ง พลัส ที่ต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ให้ร้านค้าทั่วประเทศ ความพยายาม…สั่งเร่งเบิกจ่ายงบ กระตุ้นการลงทุน การเตรียมความพร้อมประเทศสู่การเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ถือสัญญาณว่า “รัฐบาลอนุทิน” ไม่ได้มาเพื่อประคองสถานการณ์ แต่มาเพื่อเร่งเดินเกมสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่ประชาชนจับต้องได้จริง

การประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 ณ ห้องกำปั่นทอง กระทรวงการคลัง ถือเป็นอีกครั้งที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นั่งร่วมประชุมในฐานะ “ประธานฯ” ด้วยตนเอง

ร่วมกับ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯและรมว.คมนาคม, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์, นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และ น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รมช.มหาดไทย รวมถึง ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทั้งนี้ เพื่อเร่งรัดผลลัพธ์เชิงนโยบายให้ปรากฏในระยะสั้นภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ “Quick Big Win” การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีในลักษณะนี้ จึงไม่ใช่แค่การกำกับงาน แต่เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ชัดว่า…รัฐบาลต้องการให้ “เศรษฐกิจขยับทันที!”

โดยมี…เป้าหมายจับต้องได้และสามารถติดตามผลได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบ Dashboard ที่กระทรวงการคลังได้พัฒนาไว้

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีได้รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–สิงคโปร์ โดยไทยได้รับคำชื่นชมจากสิงคโปร์ในด้านความมั่นคงทางพลังงาน การขายข้าว และการพัฒนาโครงข่ายพลังงานสะอาดร่วมกั

ทั้ง โครงการเชื่อมโยงไฟฟ้าลาว–ไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์ (LTMS–PIP) ตลอดจน ความร่วมมือด้าน “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) และ การพัฒนาศักยภาพแรงงานในอุตสาหกรรมอนาคต ฯลฯ

ซึ่งเป็น…หนึ่งใน “หัวข้อหลัก” ของการประชุมเศรษฐกิจในครั้งนี้ ด้วย

สำหรับสาระสำคัญของการประชุมฯ คณะกรรมการได้ติดตามความคืบหน้าของนโยบาย Quick Big Win ซึ่งถือเป็น “เครื่องมือ” เร่งรัดเศรษฐกิจช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ผ่านระบบ Dashboard ติดตามผลแบบเรียลไทม์

โดยหลายโครงการ…มีความคืบหน้าตามเป้าหมาย อาทิ การแก้หนี้เสียภาคครัวเรือนผ่านกลไกบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC), โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ของ บสย. วงเงิน 50,000 ล้านบาท, และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนโครงการ “พี่ช่วยน้อง”

ทั้งหมดนี้…สะท้อนแนวทางบริหารของรัฐบาลที่เน้นการทำงานเชิงรุกและวัดผลได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯยังได้รับทราบผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีซึ่ งมีอัตราสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะงบลงทุนที่ตั้งเป้าเบิกจ่าย 8% แต่สามารถเบิกจริงได้ถึง 12.7% เกินเป้ากว่า 4.7% ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของเศรษฐกิจไทย

นายกรัฐมนตรี…จึงได้ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำชับให้เร่งเบิกจ่ายต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน

อีกประเด็นที่ นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ การพัฒนา “ทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อคนไทย” ภายใต้โครงการ TH-AI Passport เพื่อเตรียมแรงงานไทยให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และเชื่อมโยงกับการขับเคลื่อนโครงการ คนละครึ่ง พลัส

ซึ่งเป็น…นโยบายเศรษฐกิจเรือธงของรัฐบาลในระยะนี้

ในที่ประชุมฯยังได้เห็นชอบ โครงการพัฒนาและเรียนรู้ทักษะใหม่ (Upskill–Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อเพิ่มยอดขาย ลดรายจ่าย และยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล โดยร้านค้าถุงเงินกว่า 400,000 ร้านจะสามารถเข้าร่วมอบรมผ่าน 1 ใน 3 ช่องทาง ได้แก่…

1.  การเพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์โดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี

2. การอบรมหลักสูตรทางการเงินผ่านเว็บไซต์ของธนาคารออมสิน www.oomtang.gsb.or.th

และ 3. การเรียนรู้หลักสูตร AI ผ่าน DBD Academy ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

โดยทั้ง 3 ช่องทางนี้ เปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568 โดยร้านค้าที่ผ่านการอบรมจะได้รับสิทธิ์เงินสนับสนุนสูงสุด 2,000 บาทต่อร้าน เพื่อใช้พัฒนาทักษะและระบบค้าขายของตนเอง

ในระหว่างการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า…การยกระดับทักษะผู้ประกอบการรายย่อย ถือเป็นหัวใจของ “เศรษฐกิจฐานรากยุคใหม่” ที่ต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างมีคุณภาพ และรัฐบาลจะไม่เพียงกระตุ้นกำลังซื้อ แต่จะลงทุนใน “ศักยภาพของประชาชน” เพื่อให้เติบโตได้ด้วยตนเอง ซึ่งแนวทางนี้สะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านของนโยบายประชานิยมไทย จากการแจกเงินสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

โดยในช่วงก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีเพิ่งเดินทางกลับจากภารกิจที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จึงได้มอบหมายให้ ดร.เอกนิติ เป็นประธานการประชุมแทนในช่วงต้น และ เมื่อเดินทางถึงกระทรวงการคลัง ได้พบกับผู้ประกอบการและพ่อค้าแม่ค้าจากตลาดใกล้กระทรวง ที่มารอให้กำลังใจ และกล่าวขอบคุณสำหรับโครงการคนละครึ่ง พลัส ที่ช่วยเพิ่มรายได้และยอดขายให้กับร้านค้าในพื้นที่ พร้อมขอให้รัฐบาลสานต่อโครงการเฟส 2

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้หารือถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9–20 ธันวาคม 2568

โดย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงาน กับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านการแข่งขัน การคมนาคม และมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงาน

ถึงจุดนี้…แม้ “รัฐบาลอนุทิน” จะเพิ่งเข้ารับหน้าที่ได้เพียง 2 เดือน แต่การประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึง “ความเป็นรัฐบาลเต็มตัว” ที่เริ่มขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมและจับต้องได้

การเดินเกมแบบรายสัปดาห์ของ “ทีมเศรษฐกิจ” ภายใต้การนำของ ดร.เอกนิติ ทำให้รัฐบาลสามารถสร้าง “จังหวะข่าวเศรษฐกิจ” ต่อเนื่อง และยังสร้างแรงกระเพื่อมทางความเชื่อมั่นในตลาด ทั้งจาก…การเบิกจ่ายงบลงทุนที่เกินเป้า และการออกมาตรการเสริมศักยภาพรายย่อย ซึ่งมีผลเชิงจิตวิทยาอย่างมากต่อภาคธุรกิจ

ในเชิงยุทธศาสตร์ นี่คือ…ช่วง “วัดพลัง” ของ “รัฐบาลอนุทิน” ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี

หากรัฐบาล…สามารถรักษาจังหวะการประกาศนโยบายรายสัปดาห์ และวัดผลได้จริงผ่านข้อมูลสาธารณะ เช่น แดชบอร์ดการใช้สิทธิ์ หรือรายงานผลโครงการแบบเปิดเผย จะทำให้รัฐบาลได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน

ในฐานะ “รัฐบาลทำงาน” มากกว่า “รัฐบาลพูดเก่ง”

และห ากความต่อเนื่องนี้ดำรงอยู่ไปจนถึงปีหน้า ก็อาจสร้างแรงหนุนสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเอง

เพราะใน “สมการทางการเมือง” ยุคใหม่ คะแนนนิยม…ไม่ได้มาจาก “วาทกรรม” หรือ “การหาเสียงที่สวยหรู” อีกต่อไป

หากแต่มาจาก “ผลงานที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาสั้น”

การที่รัฐบาลชุดนี้ สามารถสร้าง “ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ” ได้ภายใน 2 เดือนแรก ทั้งในมิติ…การใช้จ่าย การอบรมทักษะ และการตรวจสอบทุจริตแบบเรียลไทม์ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบ “ประชานิยมอัจฉริยะ” ที่ใช้…เทคโนโลยี ข้อมูล และธรรมาภิบาลเป็นเครื่องมือบริหารประเทศ

ดังนั้น หากใน 2 เดือนข้างหน้า รัฐบาลสามารถรักษาความเร็ว ความโปร่งใส และคุณภาพของนโยบายไว้ได้

สมการการเมืองไทย” อาจต้องถูกคำนวณใหม่!!!

เพราะ รัฐบาลอายุเพียง 4 เดือน นี้ อาจกลายเป็น “ตัวอย่าง” ของ “รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน” ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เงินรัฐสามารถเปลี่ยนเป็นความสามารถของประชาชนได้จริง

และ “ผู้นำ” ที่กล้าขยับเร็ว! อย่าง นายอนุทิน ก็อาจไม่ใช่เพียง…นายกรัฐมนตรีชั่วคราวในสมัยสั้น ๆ

แต่เขาคือ…ผู้วางรากฐานของ “เศรษฐกิจปฏิบัติได้จริง!” ที่จะต่อยอด” ไปสู่…ยุทธศาสตร์การเมืองระยะยาวของไทยในทศวรรษหน้า!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password