วัดใจนาง?

ก่อนหน้านี้ “ทีมข่าวยุทธศาสตร์” เขียนบทความเอาไว้ กับหัวเรื่อง…“สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าคะแนนนิยม” แน่นอนว่าคงไม่พ้นเรื่อง…คะแนนนิยมในทางการเมือง
อ้างถึงปมที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ “รมว.วัฒนธรรม” ที่ได้เปิดปฏิบัติ “เอาคืน” จาก…นายฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชา กรณี รัฐบาลไทย ได้สั่งทบทวนการวัตถุโบราณเขมร จำนวน 20 ชิ้น ที่เคยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ด้วยเหตุผล…“งบประมาณในปีปัจจุบันไม่เพียงพอ และไม่ได้เป็นเรื่องด่วน จึงไม่สามารถของบฯกลางได้”
รัฐบาลไทยยืนยัน…จะยังไม่คืน 20 วัตถุโบราณให้กับรัฐบาลกัมพูชา!!!
พร้อมกับยุส่งให้ น.ส.แพทองธาร และ รัฐบาลไทย ทำการ “ตัด – ทุกอย่าง” โดยการ…ยกเลิกทุกการช่วยเหลือแก่รัฐบาลกัมพูชา ทั้งก่อนและหลังจากการเดินทางไปเยือนกัมพูชา เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2568 กระทั่ง นำไปสู่การลงนามความตกลงจำนวน 7 ฉบับ
หนึ่งในนั้น มีเรื่อง….การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท) มูลค่า 15 ล้านบาท รวมอยู่ด้วย
หากทำได้ “คะแนนนิยม” ที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้ อาจจะยังพอ “ตีตื้น” กลับคืนมาได้บ้าง?
ล่าสุด ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นใจ? เมื่อ กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชา ได้ยื่นขอจดทะเบียนประเพณีงานแต่งงานของกัมพูชากับทางยูเนสโก โดยแอบ “ยัดไส้” ชุดไทยพระราชนิยม ที่มีต้นกำเนิดจาก พระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เข้าไว้ในประเพณีดังกล่าวของตัวเอง
ทั้งที่ในอดีต…ก็มี หลักฐานเชิงประจักษ์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า…ในพิธีแต่งงานของชาวกัมพูชาที่ผ่านมา ไม่เคยปรากฏ ชุดสไบ หรือ ชุดไทย หากจะมี…ก็มีแต่ “ชุดซัมปอต” หรือ “ชุดสมโภช” ในภาษาไทย เนื่องเพราะเป็นชุดที่ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้กับชาวกัมพูชา ในฐานะ “ประเทศราช” ของไทย
ที่สำคัญ…ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ไม่จับต้องได้ของยูเนสโก (ICH Committee) ได้ปฏิเสธการยื่นขอจดทะเบียนชุดสไบของกัมพูชา เพราะเป็นชุดที่ลอกเลียนแบบมาจากชุดไทยพระราชนิยม อีกทั้ง ไม่เคยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า…คนเขมรเคยมีชุดทำนองนี้
โอกาสนี้ หาก น.ส.แพทองธาร ในฐานะ “รมว.วัฒนธรรม” จะดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านไปยังยูเนสโก เพื่อให้ทบทวนและปัดตกคำขอดังกล่าวของกัมพูชาออกไป
เหมือนที่เคยปัดตกการยื่นขอจดทะเบียนชุดไทยก่อนหน้านี้
ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในประเทศไทย ไม่เว้นแม้กระทั่ง รัฐบาล และตัวของ น.ส.แพทองธาร เอง
จะว่าไปแล้ว…ก่อนหน้านี้ กระทรวงวัฒนธรรมของไทย ได้ยื่นขอจดทะเบียนชุดไทยพระราชนิยมไปยังยูเนสโก หากไม่มีอะไรผิดพลาด! เชื่อว่า…ปลายปี 2568 นี้ ทางยูเนสโก ก็น่าจะอนุมัติการขึ้นทะเบียนของชุดไทยพระราชนิยม ให้เป็น…มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ไม่จับต้องได้ของยูเนสโก
ประเด็นคือ น.ส.แพทองธาร ในฐานะ “รมว.ยุติธรรม” จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร?
ต้องไม่ลืมว่า…วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และความภาคภูมิใจของประชาชนในแต่ละประเทศ
เช่นกัน…ชุดไทยพระราชนิยม นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและมีเรื่องราวอันลึกซึ้ง เชื่อมโยงกับราชประเพณี และประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน
พูดให้เข้าใจง่ายๆ การที่ชุดไทยพระราชนิยม มีต้นกำเนิดจาก พระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 สิ่งนี้ ย่อมสะท้อนว่าเป็น…มรดกแห่งพระบารมีและอัตลักษณ์ของชาติ
ดังนั้น ชุดไทย…จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องแต่งกายสวยงาม แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งรากเหง้า ประเพณี ราชประเพณี และความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังสะท้อนถึง ภูมิปัญญาด้านการทอผ้า งานหัตถศิลป์ และความประณีตทางวัฒนธรรมของชาวไทย ซึ่งควรได้รับการยอมรับในระดับโลกในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมอันโดดเด่น
การที่ รัฐบาลกัมพูชา ได้นำชุดแต่งกายที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับชุดไทย เข้าไปประกอบอยู่ในองค์ประกอบของพิธีแต่งงาน และยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศตนเอง นั้น
ถือเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ และอาจส่งผลเสียต่อการรับรู้ของนานาประเทศ เกี่ยวกับต้นกำเนิดของชุดดังกล่าวในอนาคต
หาก รัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ น.ส.แพทองธาร จะปล่อยเฉยกับเรื่องนี้
โอกาสที่คนทั่วโลกจะเข้าใจผิด! คิดว่า ชุดไทย…เป็นของกัมพูชา เพียงเพราะรัฐบาลไทย ไม่คิดคัดค้าน กระทั่ง ยูเนสโกได้อนุมัติให้ “ประเพณีแต่งงานแบบกัมพูชา” ซึ่งภายในประกอบด้วย ชุดที่มีลักษณะเหมือนชุดไทย จนกลายเป็น มรดกเชิงวัฒนธรรมของโลก ไปโดยปริยาย
จะเป็นอะไรที่น่าเศร้าสำหรับคนไทยและประเทศไทยอย่างที่สุด!!!
ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการ ผลักดันชุดไทยพระราชนิยมให้เป็นที่ยอมรับของโลก การปล่อยให้มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนเช่นนี้ โดยไม่มีการคัดค้าน ถือเป็นความเสี่ยงต่อเกียรติภูมิและอัตลักษณ์ของชาติอย่างยิ่ง
ถึงเวลาแล้วที่ “ผู้นำของชาติ” จะต้องแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน!!!
กลวิธีที่ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ น.ส.แพทองธาร จะต้องเร่งดำเนินการยื่นหนังสือประท้วง หรือหนังสือคัดค้านอย่างเป็นทางการต่อยูเนสโก ผ่านทางคณะกรรมการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ไม่จับต้องได้ของยูเนสโก (ICH Committee) ประกอบด้วย…
1. ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดในเอกสารการยื่นจดทะเบียนของกัมพูชา
2. ขอให้ถอดถอนหรือระบุแยกชัดเจนว่าองค์ประกอบใดไม่ใช่ของกัมพูชาโดยแท้
3. เสนอหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิดของชุดไทย และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของไทยอย่างมีหลักฐานทางวิชาการ
จะว่าไปแล้ว….การยื่นคัดค้านในลักษณะนี้ของรัฐบาลไทย มิใช่การกีดกันวัฒนธรรมของเพื่อนบ้าน แต่เป็นการรักษาความจริงทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของประเทศไทย เท่านั้น
เนื่องจากการที่ กัมพูชาได้นำ “ชุดที่เหมือนกับชุดไทย” ไปประกอบในประเพณีของตนเอง และยื่นต่อยูเนสโกโดยไม่แสดงความเป็นเจ้าของที่ชอบธรรม
สิ่งนี้…ย่อมกระทบต่อสิทธิ์และศักดิ์ศรีของวัฒนธรรมไทยโดยตรง!
จึงเป็น หน้าที่ของรัฐบาล โดยเฉพาะ น.ส.แพทองธาร ในฐานะ “รมว.วัฒนธรรม” ที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อ…ยื่นคัดค้านและขอชี้แจงต่อยูเนสโก
อันจะเป็นการ ปกป้องอัตลักษณ์ของชาติ รักษาความจริงทางประวัติศาสตร์ และ สร้างแบบอย่างแห่งการยืนหยัดเพื่อความถูกต้องในเวทีโลก
ในสถานการณ์ที่ ทุกอย่าง…วิ่งมาเข้าทางของ น.ส.แพทองธาร แล้ว ก็ไม่ควรจะปล่อยวางและนิ่งเฉย…
นาทีนี้…คนไทยราว 70 ล้านคน รอวัดใจ “รมว.วัฒนธรรม” ที่สุดแล้ว เธอจะทำทุกอย่างเพื่อเข้าข้างฝั่งไทย หรือเลือกยืนข้าง “ฝั่งตรงกันข้าม” ในยามนี้!!!.