สร้างทำไม? ‘นักการเมือง – ผู้นำ’ รุ่นใหม่!!!

เพราะเชื่อมั่นในเกมการเมือง ผ่านพรรคและนักการเมือง “ระบบอุปถัมภ์ – บ้านใหญ่” เขาคนนั้น? จึงไม่คิดจะสร้าง “นักการเมืองรุ่นใหม่” รองรับประเทศไทยในยุคเอไอแห่งอนาคต
อดีตพรรคอนาคตใหม่ อดีตพรรคก้าวไกล ปัจจุบันเป็น พรรคประชาชน ขึ้นชื่อในเรื่องความเป็น…พรรคการเมืองของ “คนรุ่นใหม่”
หมดจาก รุ่นนำร่อง ของพรรคอนาคตใหม่ อาทิ…ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล พรรณิการ์ วานิช และอีกหลายคน รวม 16 ชีวิต ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว ยังมี…ทายาทรุ่นที่สอง เช่น…พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ รวมถึงนักการเมืองรุ่นใหม่อีกหลายชีวิต กับ พรรคก้าวไกล ให้ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามกันมา
ล่าสุด กับ พรรคประชาชน ที่คาดหมายกันว่า…ยังจะมี ส.ส.รุ่นใหม่ของพรรคอีกหลายสิบคนที่ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง ตัวเลขคร่าวๆ น่าจะเป็น 25 จาก 40 สส.ของพรรคฯ เด่นๆ คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ศิริกัญญา ตันสกุล รังสิมันต์ โรม เท่าภิภพ ลิ้มจิตรกร ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ณัฐวุฒิ บัวประทุม วรภพ วิริยโรจน์ วาโย อัศวรุ่งเรือง ฯลฯ
กระนั้น ก็ยังจะมี คนรุ่นใหม่ ให้ได้เป็น ทายาททางการเมือง โดยเฉพาะ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ ในวัย 32 ปีเศษ
ทั้งหมดที่เขียนถึง เพียงแค่จะบอกว่า…พรรคการเมืองรุ่นใหม่ มักจะสร้าง นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ แม้จะถูกมรสุมในทางการเมือง ทำลายล้าง ก็จะมีคนรุ่นใหม่กว่า…มาสานต่อจิตวิญญาณในทางการเมืองกันต่อไป ไม่วันจบสิ้น!!!
ทว่า พรรคการเมือง ที่ถูกมองว่าเป็น…พวกหัวเก่า อิงแอบอยู่กับ ระบบอุปถัมภ์ผ่านการเมืองบ้านใหญ่ อย่าง…พรรคสีน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” ยังมีแนวคิดในการสร้าง นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาทำงานการเมือง เคียงคู่กับคนรุ่นเก่า
ต่างจาก พรรคใหญ่…แกนนำรัฐบาล ที่แม้จะได้ “นายกฯเจนวาย” อย่าง…แพทองธาร ชินวัตร มาเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” (นายกรัฐมนตรี) ทว่า แกนหลักในการกำหนดแนวทางและขับเคลื่อนพรรคฯ ยังคงอยู่ในน้ำมือของ “คนรุ่นเก่า”
แถมบางรายไม่ได้เป็น สส.ของพรรคฯ แต่มีอิทธิพลทางความคิด ระดับ “ชี้นำ” ตั้งแต่คนทำหน้าที่ “หัวหน้ารัฐบาล” ลงมาได้นั่นแหละ
ล่าสุด ชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช ได้ “ผู้ชนะ” จาก…พรรคกล้าธรรม พรรคการเมืองที่ถูกเชื่อไปแล้วเกินครึ่งว่า…เป็นเพียง “พรรคไฟต์ติ้งแบรนด์” ของพรรคเพื่อไทย ทำงานตาม “ใบสั่ง” ของ “นายใหญ่” คนนั้น
มันสะท้อนว่า…นอกจาก พรรคเพื่อไทย ไม่คิดจะสร้างคนรุ่นใหม่ ขึ้นมารองรับการเมืองยุคเอไอแล้ว ยังจะต่อยอดแนวคิดการทำการเมืองรุ่นเก่า ผ่านระบบอุปถัมภ์และบ้านใหญ่ กันต่อไป
ขณะที่ประเทศ…ซึ่ง ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน กลับพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้ารองรับสหวรรษแห่งความเปลี่ยนแปลง…ไปสู่โลกยุคเอไอ โดยไม่จำเป็นต้องมีนักการเมือง
มีแค่…นักปกครอง และนักบริหารมืออาชีพ ที่มองผลประโยชน์ของชาติและประชาชน มาเป็นอันดับแรก…
การสรรหาผู้ปกครอง…วางเกมกันยาวๆ 20-30 ปี โดยกลุ่ม “ผู้นำ” ณ ขณะนั้น เฝ้ามองและจับจ้อง “นักปกครองรุ่นใหม่” ในวัยเกือบหรือเกิน 30 ปี เลือกมองจากหลายมณฑล หลายเมือง กับคนหลายบทบาท จาก 100 สู่ 50 เหลือ 10 คน และที่สุด เหลือเพียง “หนึ่งคน” ที่รอการก้าวขึ้นไปเป็น “ผู้นำ” ในฐานะ “เลขาธิการพรรคฯ” และ “ประธานาธิบดี”
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของตัวอย่างนี้
เวียดนามเอง ก็ยึดโยงแนวคิดเช่นจีน แม้จะไม่เหมือนกันทั้ง 100% แต่ก็มีแนวโน้มจะเลือกแนวทางการเมืองที่เป็นไปในแบบ ลัทธิคอมมิวนิสต์ เหมือนๆ
สิงคโปร์ ชาติที่เป็นประชาธิปไตย และเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” หนึ่งเดียวของกลุ่มอาเซียน ก็เลือกใช้แนวทางการสรรหาและวางตัว “ผู้นำ” ไม่ต่างกัน
จากยุค…ลีกวน ยู สู่ยุค โก๊ะ จ๊กตง ถึงยุค ลี เซียนหลุง กระทั่ง ได้ ลอว์เรนซ์ หว่อง มาทำหน้าที่ “ผู้นำ” แม้ว่า…ตัว ประธานาธิบดี ธาร์มัน ชันมูการัตนัม จะประกาศยุบสภาฯไปเมื่อ 15 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา
แต่นั่น ก็เป็นไปตามคำแนะนำของ ลอว์เรนซ์ หว่อง เพื่อที่ตัวเขาจะได้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง “ผู้นำ” อีกครั้ง และเป็นไปแบบสง่างาม แต่ผ่านการเลือกตั้งทั่วไป อันจะสร้างความชอบธรรมในยุคการเมืองเอไอ เช่นปัจจุบัน
หันมาดูประเทศไทย เราสูญเสียทั้งเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล สูญเสียเวลาและโอกาสในการพัฒนาประเทศ ในรอบ 70-80 ปีที่ผ่านมา เพราะเรามี พรรคการเมืองและนักการเมือง ใช่หรือไม่? ตรงนี้…คนไทยต้องช่วยกันคิด
แม้ว่า…บางประเทศที่ถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างต้น จะมีนักการเมืองและพรรคการเมืองมากกว่า 1 พรรค แต่สภาพความเป็นจริง โอกาสจะเข้ามาทำหน้าที่เป็น “ผู้นำ” คงไม่พ้นพรรคสำคัญและใหญ่สุดพรรคนั้น
ถึงบรรทัดนี้ คิดได้เช่นกัน นั่นคงเพราะ บางคน? คิดว่า…ประเทศไทย ยังจำเป็นจะต้องมี พรรคการเมืองและนักการเมือง!
ตัวเขาจึงไม่คิดจะสร้างและเตรียมการ “คนรุ่นใหม่” รองรับประเทศไทยในโลกอนาคต!!!.