ดีเอสไอชี้! รอบคอบ ออกหมายจับ ‘หม่อง ชิต ตู่’ – ‘สนธิญา’ ยื่นดาบสอง ชง ปปง. ยึดทรัพย์ฟอกเงินในไทย

ดีเอสไอ ยันออกหมายจับ “หม่อง ชิต ตู่” ต้องรอบคอบ เชื่อขยายผลเอาผิดแก๊งค้ามนุษย์ มากกว่า 10 ราย ด้าน “สนธิญา” รับลูก เร่งยื่นหลักฐาน ปปง. ยึดทรัพย์ ผู้นำกระเหรี่ยง KNA เชื่อมีขบวนการฟอกเงินในไทย
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ, ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีขอศาลอาญาออกหมายจับ “พันเอกหม่อง ชิตตู่” ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ ชายแดนกะเหรี่ยง หรือกะเหรี่ยง KNAกับพวก ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ว่า ดีเอสไอมีการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร และยังอยู่ระหว่างการร่วมกันหารือเรื่องพยานหลักฐาน เพราะมีรายละเอียดภายในสำนวนค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสอบสวนปากคำพยานมีค่อนข้างครบถ้วนแล้ว เพียงแค่ต้องเอาเอกสารทั้งหมดมาดูในประเด็นปัญหา ข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาร่วมกันว่ามันตรงหรือไม่ และเป็นไปตามที่ได้มีการหารือร่วมกันหรือไม่
ส่วนประเด็นว่า จะเป็นการไปยืดระยะเวลาการขอศาลออกหมายจับ “หม่อง ชิตตู่” กับพวก ออกไปนานกว่าเดิมหรือไม่นั้น ร.ต.อ.สุรวุฒิ แจงว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นลักษณะว่าพยานหลักฐานที่เราได้มารวมกันในสำนวนมันครบถ้วนหรือไม่ ถ้าครบถ้วนก็จะพิจารณา เพราะไม่ได้เอาผิดเพียงรายเดียว แต่ยังมีคนอื่นรวมอยู่ด้วยกว่า 10 ราย ซึ่งจะต้องมีการไล่เรียงทีละราย เพราะพิจารณาการออกหมายจับควรที่จะออกในคราวเดียวกัน น่าจะเป็นการดีกว่าและจะเห็นทั้งกระบวนการ ส่วน 10 รายผู้ต้องหาที่ว่าจะเป็นใครบ้าง ตนขอละเว้นไว้ภายในสำนวนการสอบสวนก่อน เนื่องจากคดีค้ามนุษย์ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน
ร.ต.อ.สุรวุฒิ ยังกล่าวถึงประเด็นเรื่องการที่ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์เดินทางข้ามไป-มาระหว่างประเทศเมียนมากับประเทศไทย รวมถึงยังมี การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ ทาง ดีเอสไอจะขยายผลดูในส่วนนี้ เพราะถ้ามีความผิดมูลฐานเกิดขึ้นแล้ว ก็จะได้ทำภาพรวมทั้งหมด จึงขอให้มีความชัดเจนเรื่องเอกสารและพยานหลักฐานก่อน โดยถ้ามีความผิดการค้ามนุษย์ ก็จะขยายผลไปเรื่องการฟอกเงินทางอาญาได้
ส่วนประเด็นที่มีข่าวนำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า ในการประชุมครั้งที่แล้ว พนักงานอัยการได้เดินทางกลับเลยนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่พนักงานอัยการติดภารกิจฝากขังเรื่องคดีอื่นเร่งด่วน จึงต้องรีบกลับไปดูก่อน แต่ในส่วนเอกสารของคดีดังกล่าว พนักงานอัยการได้รับไปหมดแล้ว อีกทั้ง กรณี “หม่อง ชิตตู่” ได้มีความพยายามนำเสนอภาพการช่วยเหลือเหยื่อในพื้นที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประเทศเมียนมา ไม่มีผลต่อพิจารณาออกหมายจับเพราะพบพฤติการณ์ร่วมกับขบวนการค้ามนุษย์ย้อนหลังหลายปี แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด อีกทั้งยังมีเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด จึงขอเก็บไว้เป็นความลับภายในสำนวนก่อน
อีกด้านหนึ่ง ที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เดินทางเข้ายื่นเรื่องต่อ นายวิทยาพร จันทวาส ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสืบสวนสอบสวนทางการเงิน และในฐานะรองโฆษก ปปง. เพื่อขอให้ตรวจสอบยึดอายัดทรัพย์สินของ “หม่อง ชิต ตู่” ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์คอลเซนเตอร์ชาวอินเดีย
นายสนธิญา กล่าวว่า ตนมายื่นเรื่องขอให้ ปปง. พิจารณาวินิจฉัยตาม พรบ.ปปง. พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 25 วรรค 1 (3) เพื่อใช้อำนาจ ยับยั้ง ตรวจสอบ ยึดทรัพย์ของ พันเอกหม่อง ชิต ตู่ และพรรคพวกที่อยู่ในประเทศไทย เพราะทราบว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มีส่วนสนับสนุน ให้มีการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน สแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่ ชเวก๊กโก เคเคปาร์ค และจังหวัดเมียวดี ทำให้เกิดการเสียหายต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนไทยและทั่วโลก รวมถึง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กักขังหน่วงเหนี่ยว อีกทั้ง ต่างประเทศ ไม่ว่ากลุ่ม EU สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศษ อังกฤษ คว่ำบาตร พันเอกหม่อง ชิต ตู่ และคณะ อันมาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายแรง
ส่วนทรัพย์สินของ พันเอกหม่อง ชิต ตู่ และญาติพี่น้องได้มาทำธุรกรรมทางด้านการเงิน การซื้อบ้าน หรือทรัพย์สินอื่นๆ ในประเทศไทย จึงเห็นว่า การกระทำผิดกฎหมายชัดเจน และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งคาดว่ามีขบวนการฟอกเงินหมุนเวียนกว่าพันล้านบาท หากพบว่าเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับกระทำความผิด ปปง. สามารถอายัดทรัพย์ตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสียหาย ทั้งนี้ ทราบว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมออกหมายจับ พันเอกหม่อง ชิต ตู่ และพวก ภาย 1-2 สัปดาห์.