ออกหมายจับ ‘ธาริต’ ปมอ้างป่วยหนีศาล – นัดอ่านฎีการอบ 8 เช้า 24 มี.ค.นี้

ศาลอาญาสั่งออกหมายจับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปมแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย “อภิสิทธิ์  – สุเทพ” เหตุสลายการชุมนุมปี 53 หลังอดีตอธิบดี ดีเอสไอ อ้างเจ็บป่วยมาตลอด  ชี้! หวังประวิงคดีให้ล่าช้า เชื่อจะหลบหนี นัดอ่านฎีกาครั้งที่ 8 อีกครั้ง เช้า 24 มี.ค.66

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่  2 ก.พ.2566 ณ ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำสั่ง/ คำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 7  คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง

พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ จำเลยที่ 2

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี, คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่, โจทก์ ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์ แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้องจริง  พิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา อ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ในคดี ขอให้ศาลฎีกา พิจารณา พิพากษาใหม่ และนายธาริต จำเลยที่ 1 มอบหมายให้ทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อนโดยให้เหตุผลต่างกันหลายครั้ง โดยครั้งหลังสุด ขอเลื่อนโดยให้เหตุผลเนื่องจากต้องผ่านิ่วในไตทั้ง 2 ข้าง ใช้เวลารักษานานราว 4 เดือน  รวมทั้ง นางพะเยาว์   อัคฮาด มารดา น.ส.กมล หรือน้องเกด อัคฮาดพยาบาลอาสาที่เสียชีวิตที่วัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553  และญาติผู้เสียชีวิตราย อื่นๆ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความที่สามในคดีด้วย

ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ส่งคำร้องทั้งหมดให้ศาลฎีกา พิจารณาเพื่อมีคำสั่งคำร้อง โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาจะพิจารณาผ่านระบบจอภาพผ่านศาลอาญา

ทั้งนี้ การนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาวันนี้ ทนายโจทก์ที่1-2  จำเลยที่ 2-4 ทนายจำเลยที่ 1 พนักงานอัยการในฐานะทนายจำเลยที่ 3,4 ผู้รับมอบอำนาจนายประกันจำเลยทั้งสี่มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล

ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้อง ว่า ตามที่ได้แถลงต่อศาลในนัดที่แล้วว่า จำเลยที่ 1 เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทางด้านซ้ายและด้านขวา ต่อมาในวันที่ 29 ม.ค. 2566 จำเลยที่ 1 ได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตและใส่สายระบายเลือดไว้ในท่อไตทั้งสองข้าง จำเลยที่ 1จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง รายละเอียดตามคำร้องขอเลื่อนคดี ฉบับลงวันที่ 1 ก.พ.66 พร้อมเอกสารแนบท้าย สำเนาคำร้องให้คู่ความทุกฝ่ายแล้วทนายโจทก์ที่ 1 แถลงว่า ไม่คัดค้านการขอเลื่อนคดี โดยขอให้เป็นดุลพินิจของศาล แต่ขอให้ศาลกำหนดมาตรการเพื่อกำชับให้มีการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาโดยเร็ว เนื่องจากคดีนี้มีการขอเลื่อนเพื่ออ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7แล้ว

ส่วนทนายโจทก์ที่ 2 แถลงว่า ไม่คัดค้านการ ขอเลื่อนคดี แต่ขอแถลงเพิ่มเติมว่า ตามใบรับรองแพทย์ที่ทนายจำเลยที่ 1ยื่นมาท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีนั้น ระบุว่า จำเลยที่ 1จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้น  และจะต้องติดตามอาการเป็นเวลาอีกประมาณ 3เดือน เป็นการไม่แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 1มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัว โดยอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดระยะเวลาทั้ง 3เดือนหรือไม่

ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ประกอบเอกสารแนบท้ายแล้ว ปรากฎเพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตเมื่อวันที่ 29  ม.ค.66 ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง แต่แพทย์ไม่ได้แจ้งว่าจำเลยที่ 1 จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดในทันทีหรือต้องผ่าตัดเร่งด่วนในวันและเวลาใด และจำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตลอดระยะเวลา 3เดือนหรือไม่ ทั้งไม่ได้ลงความเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยถึงขนาดที่ไม่สามารถเดินทางมาศาลในวันนี้ได้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยมาแล้วหลายครั้งเป็นเวลากว่าหนึ่งปี น่าเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยที่ 1 หลบหนีจึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาต่อไป

นายประกันจำเลยที่ 1ไม่ส่งตัวจำเลยที่ 1ต่อศาลตามนัด ถือว่าผิดสัญญาประกันให้ปรับนายประกันจำเลยที่ 1เต็มตามสัญญา จำนวน 2 แสนบาท แจ้งนายประกันจำเลยที่ 1 ให้ชำระค่าปรับต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ ให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาในวันที่ 24 มี.ค.66 เวลา 09.00 น

ด้าน นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ โจทก์ที่ 2 ระบุว่า คดีนี้มีการเลื่อนอ่านคำพิพากษามาตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปี 2564 ครั้งนี้เป็นการนัดครั้งที่ 7 ปรากฏว่าทางนายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องอ้างว่าเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมาได้เข้าผ่าตัดนิ่วในไตตอนนี้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล พร้อมส่งใบรับรองแพทย์ ที่แพทย์ให้ความเห็นว่าต้องเฝ้าดูอาการเป็นเวลา 3 เดือน แต่ตนได้แถลงว่าเรื่องการเลื่อนคดีขอให้เป็นดุลยพินิจของศาล แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าตามใบรับรองแพทย์ที่อ้างมา แพทย์ไม่ได้ระบุว่านายธาริตต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลตลอด 3 เดือนไม่สามารถไปไหนได้ ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีการเลื่อนอ่านคำพิพากษามาหลายครั้ง ประกอบกับในใบรับรองแพทย์ไม่ได้ระบุชัดเจนอย่างที่ตนกล่าวข้างต้น จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์หลบหนีให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 มาฟังนัดคำพิพากษาฎีกาครั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password