รมว.พาณิชย์ เหน็บ ‘มูดี้ส์’ หั่นเครดิตไทยเร็วไป ชี้! เจรจาภาษีสหรัฐฯยังไม่จบ แถมส่งออกไทยพุ่ง 6 ด.ติด

“พิชัย” เหน็บแรง “มูดี้ส์” ด่วนตัดสินใจลดอันดับเครดิตไทยสู่ Negative เร็วไป ยืนยันการต่อสายคุยสหรัฐ ปมกำแพงภาษียังรอนัดเจรจาช่วง พ.ค.นี้ ระบุ! ตลอด 10 ปี คงเครดิตไทยมาตลอด แม้บางช่วงจีดีพีขยายตัวต่ำ แถมส่งออกไทยพุ่ง 6 เดือนติด ดันทั้งปีโตเกินเป้าหมายสูงสุด 3% ด้าน ดร.ธนวรรธน์ ชี้ไทยรับผลกระทบจากกำแพงภาษี-สงครามการค้ายุค ทรัมป์ ยืนยันไทยยังน่าลงทุน ฐานะการคลังเข้มแข็ง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมอง เชิงลบ (Negative) จากเดิมที่มีเสถียรภาพ (Stable) ว่า ส่วนตัวมองว่ามูดี้ตัดสินประเทศไทยเร็วไปหน่อย เพราะการเจรจาแก้ไขปัญหาภาษีตอบโต้การค้าระหว่างประเทศไทย กับสหรัฐอเมริกายังไม่จบ กำลังอยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งขณะนี้ไทยก็มีความพร้อมที่จะไปเจรจา มั่นใจว่าจะได้เจรจากับสหรัฐฯแน่นอนซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือน พ.ค. นี้
ทั้งนี้ การปรับลดอันดับเครดิตไทยครั้งนี้ค่อนข้างแปลก เพราะ10 ปีที่ผ่านมาคงอับดับไทยมาโดยตลอดทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้ดี โตเฉลี่ยเพียง 1.9% แต่กลับมาปรับลดอันดับช่วงนี้ ทั้งๆที่การส่งออกของไทยกำลังขยายตัวดีมาก โตต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน และยังโตต่อ โดยคาดว่าปีนี้การส่งออกของไทยจะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่ 2-3%
“ผมว่ามูดี้ส์ มองไม่เห็นภาพรวม มูดี้ส์ต้องดูการคาดการณ์ของตัวเองด้วยว่า ที่ทำมา มันเวิร์คไหม หากมีการประเมินอันดับไทยโดยใช้จากอัตราภาษีตอบโต้ที่คาดว่าสหรัฐฯจะเรียกเก็บ36% ก็ต้องไปปรับลดประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น เวียดนาม” นายพิชัย กล่าว
ส่วนกรณีที่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ช่วงบ่ายวันนี้ (30เม.ย.) ตนหวังว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ย เพื่อทำให้ค่าเงินอ่อนลง เพื่อช่วยหนุนการส่งออกและภาคท่องเที่ยว ซึ่งจากการหารือร่วมกับรัฐมนตรีการค้าของมาเลเซียครั้งก่อน ได้ถามตนว่าทำไมเศรษฐกิจไทยไม่ดี แต่เงินบาทกลับแข็งค่า และแข็งมากกว่าประเทศในภูมิภาคมาก แข็งค่ามากกว่าตอนไทยเจอปัญหาวิฤติต้มยำกุ้งอีก ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 5 แสนล้านบาทนั้น อยากทำความเข้าในว่า รัฐบาลไม่ได้บอกว่าจะกู้เงินทั้ง 5 แสนล้านบาท และก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ให้หมดในคราวเดียว ที่สำคัญ ปัจจุบันไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 2แสนล้านบาท เพียงพอที่จะใช้หนี้แบบไม่มีปัญหา
ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า กรณีของมูดีส์ ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เนื่องมาจากสงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไทยที่มีการขยายตัวต่ำและฟื้นตัวช้า ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็มองว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะต่ำกว่า 2% และอาจจะมีความเสี่ยงที่โตต่ำกว่านั้นได้ ถ้าหากไทยโดนเก็บภาษีจากสหรัฐสูง มันก็จะเป็นกลไกที่ทำให้เศรษฐกิจทั้งโลกมีความเสี่ยงและไทยก็เจอความเสี่ยงนั้น
“จากเดิม Moody เขามองว่าตัวเครดิตเรตติ้งของไทย อยู่ที่เกตที่น่าลงทุน มันเป็นเกตที่นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีแนวโน้มในการปรับเปลี่ยน แต่ตอนนี้ปัจจุบันเรามีความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำ จึงประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่ “เชิงลบ” (Negative)” รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวและย้ำว่า…
อย่างไรก็ตาม ไทยเป็นประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเปิด มีมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศทั้งสินค้าบริการประมาณ 125% ของ GDP ดังนั้น ไทยจึงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ทาง Moody มองไทยมีความเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะตกชั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราจะตกชั้น และไม่น่าลงทุน เพราะไทยมีความเข้มแข็งทางการคลังก็คือมีหนี้สาธารณะต่ำ เศรษฐกิจไทยก็ยังมีสัญญาณโตบวก และยังมีโอกาสที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ ได้ และคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบการลงทุน
ทั้งนี้ เรื่องเกิดขึ้นคือทุกคนมองเราด้วยความสบายใจน้อยลง ฉะนั้น มันอาจจะมีผลกระทบบ้างต่อการที่จะระดมทุนออกตราสารระหว่างประเทศ อาทิ การออกพันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศอาจจะมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แม้ไทยอยู่ในอินเวสเมนต์เกตก็จริง แต่มีโอกาสที่จะหลุดชั้น แต่ไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค ไทยก็ยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน ฉะนั้นก็เป็นข้อที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีมาตรการเสริมสิทธิทางเศรษฐกิจไทย.