คลังแจงผลสัมฤทธิ์ของฝ่ายไทย หลังส่ง ‘เผ่าภูมิฯ’ ร่วมประชุม SEAVG
“โฆษกคลัง” แจงผลการประชุมกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เผย! ผลการเจรจาของตัวแทนฝ่ายไทย ผ่าน “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” โดดเด่นทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี ก่อนจะย้ำผ่าน “กก.จัดการไอเอ็มเอฟ” มั่นใจ! เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.8% ส่วนปี 2568 โต 3.0%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในห้วง การประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2567 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วม การประชุมกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia Voting Group: SEAVG) ของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะ ผู้ว่าการธนาคารโลก 11 ประเทศสมาชิกเข้าร่วมประชุมฯ ประกอบด้วย ฟิจิ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา มาเลเซีย เนปาล สิงคโปร์ ตองกา เวียดนาม และไทย (ฝ่ายไทย คือ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) และมี ผู้ว่าการธนาคารกลาง ในฐานะ ผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศเข้าร่วม 13 ประเทศ ประกอบด้วย สมาชิก 11 ประเทศข้างต้น ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
ที่ประชุมฯได้รับฟังรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ผลการดำเนินงานและนโยบายที่สำคัญของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการ ให้คำแนะนำเชิงนโยบายและการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ และปัญหาด้านหนี้สาธารณะ รวมถึงสนับสนุนการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ นายเผ่าภูมิฯ ได้กล่าวขอบคุณธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศสำหรับการสนับสนุนการพัฒนาของไทยและสมาชิก SEAVG อย่างต่อเนื่อง และหวังว่าจะมีโครงการความช่วยเหลือจากธนาคารโลกมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น รวมถึงขอให้ธนาคารโลกช่วยสนับสนุนประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม SEAVG ในการเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกัน การเตรียมพร้อมและการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ ที่ประชุมญ ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การปรับสมดุลของการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐและการมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาแรงผลักดันในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ การเสริมสร้างการระดมทรัพยากรในประเทศ การจัดการหนี้ และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล
โดย รมช.คลัง ได้ยกตัวอย่างนโยบายของประเทศไทย ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของรัฐผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การขยายฐานภาษีจากนโยบายการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจออนไลน์และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตามกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันการโยกย้ายฐานภาษีของกลุ่มบริษัทข้ามชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and Development: OECD) รวมทั้งได้เสนอแนวคิดการลดการยกเว้นการลดหย่อนภาษีที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมในการหารือดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้แทนจากธนาคารโลกและ IMF ได้ให้ความเห็นว่าประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบริบทและความท้าทายที่แตกต่างกันจึงจำเป็นต้องมีการปรับความสมดุลด้านการคลังในระยะเวลาที่ต่างกันให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ
อนึ่ง ในวันที่ 23 ตุลาคม 2567 นายเผ่าภูมิฯ ยังได้มีการหารือทวิภาคีกับ นาง Manuella V. Ferro รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายที่ประเทศไทยให้ความสำคัญและความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและธนาคารโลก โดยฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึงเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ตลอดจนนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัล ขณะที่ รองประธานธนาคารโลกได้แสดงความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเห็นว่านโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน นโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับผู้สูงอายุ ตลอดจนการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภาพของภาคการเกษตรจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน รวมทั้งจะเอื้อต่อการขยายตัวของการลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่ง รองประธานธนาคารโลก ได้ให้ความสนใจกับนโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณโดยจะศึกษาตัวอย่างของประเทศไทย ต่อไป
นอกจากนี้ นายเผ่าภูมิฯ ได้หารือทวิภาคีกับผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหารือถึงความร่วมมือระหว่าง JBIC และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยผู้ว่าการ JBIC ได้แสดงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นว่านโยบายของภาครัฐจะเอื้อต่อการลงทุนเพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและเศรษฐกิจสีเขียวในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้ รมช.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนกับ นาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อรับฟังรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน โดยได้ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 2567 และจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 2568 รวมทั้งได้หารือถึงบทบาทของ IMF ที่จะสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน.