“อนุสรณ์” แนะ! งบฯปี 2566 ต้องใช้ฐานคิดใหม่ ชูธง”แก้วิกฤติ-สร้างอนาคตประเทศ”

“อนุสรณ์ ธรรมใจ” แนะการจัดงบฯปี 2566 ต้องใช้ฐานคิดใหม่เพื่อแก้วิกฤติและสร้างอนาคตประเทศ หนุนความคืบหน้าสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ จ่ายบำนาญชราภาพถ้วนหน้าอย่างต่ำ 3,000 บ./เดือน เลี้ยงดูเด็กเล็กถ้วนหน้า 1,500 บ./เดือน

วันที่ 5 มิ.ย.2565 รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวถึงงบประมาณปี พ.ศ.2566 ว่า การจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. 2566 นั้นต้องเป็นการจัดทำงบประมาณบนฐานความคิดใหม่ วิธีการใหม่ ยุทธศาสตร์ใหม่ ไม่คิดแยกส่วน เน้นบูรณาการ ภายใต้พลวัตเศรษฐกิจการเมืองโลกเปลี่ยนไปหลังสงครามรัสเซียยูเครน ภายใต้ภาวะปรกติใหม่หลังโควิด ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและการแตกตัวของฟองสบู่ในตลาดการเงิน และความตึงเครียดที่ลดลงของสงครามการค้าจีนสหรัฐฯถูกแทนที่โดยสงครามคว่ำบาตรระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตก

หากไม่จัดทำงบประมาณแบบใหม่ภายใต้พลวัตใหม่แล้ว งบประมาณจะไม่ได้เป็นกลไกในการแก้ปัญหาวิกฤติที่ประชาชนเผชิญอยู่ และ ไม่สามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างอนาคตให้ประเทศ การมีสัดส่วนงบประมาณประจำสูงถึง 75.26% และมีงบเพื่อการลงทุนเพียงแค่ 21% เม็ดเงินลงทุนเพียง 6.95 แสนล้านบาทย่อมไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจ ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดธุรกิจอุตสาหกรรมใหม่ ไม่สามารถทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆในประเทศ ไม่สามารถสร้างงานที่มีคุณค่าและเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือนได้

โดยภาพรวมแล้ว รัฐสภาควรพิจารณาตัดงบประจำลงมาให้อยู่ในระดับหรือต่ำกว่า 70 % และ เพิ่มงบลงทุนให้อยู่ที่ 26-30% ของวงเงินงบประมาณ นอกจากนี้ควรกำกับควบคุมการก่อหนี้สาธารณะไม่ให้ทำงบประมาณขาดดุลเกิน 3% ของจีดีพี ในปี พ.ศ. 2566 หากการขาดดุลและกู้ชดเชยเกิน 3% ของจีดีพีอาจก่อให้เกิดปัญหาวินัยและฐานะการคลังในระยะยาวได้ ขณะนี้ หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศอยู่ที่ 9.95 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 60.6% ของจีดีพี

นอกจากนี้ รัฐบาลยังจัดสรรงบกลาง กว่า 5.90 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 18.6% ของวงเงินงบประมาณซึ่งถือว่าสูงเกินไป เพราะงบกลางไม่มีรายละเอียดโครงการการใช้เม็ดเงินภาษีประชาชน หากย้อนกลับไปสี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ได้จัดสรรงบกลางสูงถึง 2.3 ล้านล้านบาท วงเงินงบกลางดังกล่าว รัฐสภาสามารถตรวจสอบกลั่นกรองการใช้งบประมาณได้อย่างจำกัด บางท่านจึงเรียกการจัดงบกลางเหมือน “ตีเช็คเปล่า” ให้รัฐบาล รัฐบาลที่ยึดถือวินัยการเงินการคลังจะไม่ทำเช่นนี้

งบประมาณปี 66 ควรเป็นกลไกที่สนับสนุนการจ้างงาน การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของประชาชน ขณะนี้อุปสงค์มวลรวมกระเตื้องขึ้นบ้างแล้วจากการเปิดประเทศ แต่ประชาชนจำนวนมากยังไม่มีรายได้ตามปรกติ ภาคธุรกิจโดยรวมยอดขายยังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับเดียวก่อนเกิดวิกฤติโควิดและวิกฤติสงครายูเครน หนี้เสียเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวลงบ้าง หนี้ครัวเรือนพุ่งแตะระดับ 91% ของจีดีพี หนี้ส่วนนี้มีโอกาสกลายเป็นหนี้เสีย เนื่องจากครัวเรือนรายได้น้อยมีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้สูงมาก และยังเผชิญค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจากราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้น ให้ติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นให้ดี เพราะสิ่งนี้จะกระทบปัญหาหนี้ในทุกระดับทุกมิติของไทย ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ หรือหนี้สาธารณะ

งบประมาณปี 2566 ควรสนับสนุนการลดรายจ่ายในชีวิตของประชาชนด้วยสวัสดิการโดยรัฐ ควรสนับสนุนให้เกิดความคืบหน้าสู่การเป็นรัฐสวัสดิการด้วยจ่ายบำนาญชราภาพถ้วนหน้าอย่างต่ำ 3,000 บาทต่อเดือน จ่ายอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กเล็กถ้วนหน้า 1,500 บาทต่อเดือน และ เรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรี โดยเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีกำไรจากตลาดการเงิน ตลาดหุ้นและตลาดคริปโตในอัตราก้าวหน้า นอกจากนี้ ควรปรับลดการดูงานต่างประเทศ รถยนต์ประจำตำแหน่ง การก่อสร้างอาคารสำนักงานหรูหราเกินฐานะการคลังประเทศ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน นำเม็ดเงินเหล่านี้มาออกเป็น “มาตรการดูแลผลกระทบราคาพลังงานและราคาอาหารแพง” ก่อน โดยสามารถออกเป็นมาตรการแจกคูปองอาหารให้กับครอบครัวมีรายได้น้อยโดยเฉพาะคนจนเมือง นำมาเป็นงบสนับสนุนชดเชยราคาพลังงานให้กับประชาชนและภาคการผลิต เพิ่มงบประมาณในการจ่ายสมทบให้กองทุนประกันสังคม

การเดินหน้าลงทุนระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเพิ่มเติมมีความสำคัญต่อประเทศและเศรษฐกิจอย่างมาก ระบบชลประทานที่ดีจะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และ ทำให้เราสามารถทำการเกษตรได้ทั้งปี ประเทศไทยจะได้ไม่สูญเสียโอกาสในการส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรในช่วงวิกฤตการณ์อาหารโลกในขณะนี้ ประเทศของเรานั้นมีปริมาณน้ำฝนประมาณ 780,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี มีความต้องการใช้น้ำในประเทศ 150,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี มีการบริหารจัดการน้ำและกักเก็บน้ำในระบบชลประทานได้ประมาณ 100,000 กว่าล้านลูกบาศก์ ที่เหลือต้องมีการพัฒนาระบบชลประทานเพิ่มเติมให้รองรับความต้องการอีกไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

งบที่จัดสรรในปี พ.ศ. 2566 จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ หากต้องการให้สามารถทำเกษตรกรรมได้ทั้งปีในเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ ต้องนำปริมาณน้ำฝนที่ปล่อยทิ้งลงทะเลทุกปีหลายแสนล้านลูกบาศก์เมตรเข้าสู่ระบบชลประทาน และ แม่น้ำคูคลองของเรา เสนอให้โยกงบประมาณโยกเม็ดเงินจากการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มาใช้ในการลงทุนระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสามารถตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้อีกมาก เช่น ตัดงบทดสอบ GT 200 เนื่องจากมีข้อยุติแล้วว่าเป็นเครื่องมือทำขึ้นมาเพื่อหลอกขายให้กองทัพและหน่วยราชการไทยและมีหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันจนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เป็นต้น.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password