เลขาฯกกต. ชี้ คำวินิจฉัย’ศักดิ์สยาม’ไม่เป็นเหตุ ให้ ยุบ ภท. พปชร.รอดรับเงิน’ตู้ห่าว’เหตุพิสูจน์ไม่ได้

ภท.ลุ้นรอด “แสวง” ชี้คำวินิจฉัยคดี “ศักดิ์สยาม” ไม่เป็นเหตุยุบพรรค ซ้ำคำวินิจฉัยศาลฎีกา “ทำงานให้หลวงต้องได้เงิน” ส่วนเรื่อง “ฮั้ว” ต้องแยกคดี คาด 1 เดือนรู้ผล พ้อแค่เป็นคนบุรีรัมย์ถูกด่าฟรี 1 ปี เผยสั่งยุติคดียุบ พปชร.หลังพิสูจน์ไม่ได้ว่า “เงินบริจาคตู้ห่าว” เป็นเงินไม่ชอบด้วย กม.

วันที่ 29 ก.ย.2567 นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องยุบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จากเหตุรับเงินบริจาค ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถือหุ้นอยู่ ว่า ประเด็นนี้ทำให้ตนถูกด่าฟรีมาปีกว่าๆ เพียงเพราะตนเป็นคนบุรีรัมย์ จนมีคนไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต ว่า เหตุใดกกต.ถึงมีคำสั่งยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แต่กลับไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จึงขอชี้แจงว่า ด้วยความที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องการตวจสอบให้ชัดเจน ตนในฐานะเลขาฯ กกต. จึงมีคำสั่งขยายเวลาออกไป ทั้งที่จริงๆ แล้วอยากจะให้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน จนคนอื่นรู้สึกว่า เพราะเลขาฯ กกต. เป็นคนบุรีรัมย์ ทำให้ตนเองกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งๆ ที่ตนไม่เคยเข้าไปยุ่ง

ทั้งนี้ ถ้าถามข้อกฎหมายจริงๆ อย่างกรณีของพรรคก้าวไกล มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นแนวเอาไว้แล้ว ซึ่งก็ผูกพันกับกกต.ทำให้ต้องใช้อำนาจยื่นต่อศาล รัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย แต่คดีของพรรคภูมิใจไทยนั้นเป็นการร้องว่าผิดหรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีของนายศักดิ์สยาม ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมือง และ ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง แต่เราก็พยายามหา ว่า สิ่งที่เขามาร้องนั้น เป็นเหตุที่จะโยงไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่นายศักดิ์สยามทำผิดตามคำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่เหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ซึ่งตนไม่เคยไปสอบถาม หรือ แทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เป็นเรื่องของอำนาจใครอำนาจมัน แต่วันนี้ฟังได้ว่าเขาเสนอเรื่องมาแล้ว ตนก็จะได้สบายใจว่ามันจะได้จบเสียที ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดู ว่าที่เสนอมานั้นเป็นอย่างไร บางทีสังคมเข้าใจไปว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ต้องยุบพรรคเหมือนกัน แต่ความรู้สึกของคนไปไกลแล้ว ว่าลักษณะเหมือนกันแต่เรื่องของพรรคการเมืองหนึ่งถึงทำได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรื่องของอีกพรรคการเมืองหนึ่งกลับทำได้อย่างล่าช้า แต่จริงๆ ต้องดูข้อกฎหมาย ดูที่คำร้อง

นายแสวง กล่าวต่อว่า หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอเรื่องเข้ามาแล้ว ตนก็จะส่งเรื่องให้กับกรรมการที่ปรึกษาของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งมี นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นก่อน ก่อนที่จะเสนอให้นายทะเบียนฯ พิจารณาให้ความเห็น ว่าผิดกฎหมายต้องมีการยุบพรรคหรือไม่ ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่ผิดก็จบเลย แต่ถ้าเห็นว่าผิดก็เสนอต่อกกต. คาดว่าไม่เกินเดือนต.ค.ก็จบแล้ว

ส่วนเรื่องร้องเรียนให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เนื่องจากกรณีการรับเงินบริจาคไม่ชอบด้วยกฎหมายจากนายตู้ห่าว ซึ่งการพิสูจน์ว่า เงินที่เขานำมาบริจาคนั้นเป็นเงินสีเทา ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายเช่น เปิดบ่อนการพนัน ค้ายาเสพติด ซึ่งการจะดูว่าเงินนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้ามีหน่วยงาน ที่รับผิดชอบไปบอกว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ถูกยึดก็จะชัดเจน ว่าเป็นที่มาของเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ เงินที่ไม่ชอบตามกฎหมายอื่น เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ทางกกต.ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัย ต้องเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายนั้นเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อน ซึ่งถ้าเงินที่ไม่ชอบตามกฎหมายนั้นเอามาบริจาค นั่นจะทำให้เขาถูกยุบพรรค แต่ถ้าเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพรรคการเมืองโดยตรง ก็ อย่างเช่นกรณี เงินกู้ ที่เป็นเหตุยุบพรรคอนาคตใหม่ กกต.มีอำนาจวินิจฉัยด้วยตัวเอง

“กรณีเงินบริจาคของนายตู้ห่าว ไม่มีหน่วยงานไหนวินิจฉัยว่าเงินนั้น ได้จากอะไร เมื่อมันเป็นไปตามกฎหมายอื่นแล้วไม่มีหน่วยงานไหนมาวินิจฉัย และเราก็ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัยตามกฎหมายอื่น กกต.ก็ต้องยุติเรื่องไป พอมาถึงเงินของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีบริษัทหนึ่งเอาเงินมาบริจาค เงินนั้นคือเงินหลวง ที่บริษัทประมูลงานได้ ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษา ในคดีหนึ่งที่มีบริษัทเขาไปฮั้วประมูล และผู้มีอำนาจไม่ให้เงินค่างานเขา ศาลบอกว่าต้องแยกให้ถูกเขาทำงานก็ต้องได้ค่างาน ฮั้วประมูล ไม่เกี่ยวกัน นั่นหมายความว่า เงินค่างาน เป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเขาทำงานก็ต้องได้เงิน ส่วนเรื่องหัวประมูลก็ต้องไปดำเนินคดีอีกคดีหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งถ้าคิดดีๆจะใกล้เคียงขึ้นมาทันทีว่า เงินที่พรรคการเมืองได้รับจาก บริษัทที่ไปทำงานให้หลวง นั่นคือเงินค่างานที่เขาได้รับ จากการประมูลงานจากหลวง มีระบบบัญชีถูกต้อง เงินมันถึงเข้ามาอยู่ในบริษัทได้ ถ้าเป็นเงินฮั้ว มันเข้ามาอยู่ในบริษัทไม่ได้ ไม่รู้เงินนั้นจะไปอยู่ตรงไหน ดังนั้นถ้าตามกฎหมายแล้วมีความซับซ้อน คนจะคิดว่า ฮั้วประมูลแล้วจะต้องยุบพรรค แล้วฮั้วจริงหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้ในตอนนี้ หรือมีใครตัดสินอย่างไร แต่สุดท้ายเขาก็คงเสนอขึ้นมาให้นายทะเบียนพิจารณา” นายแสวงกล่าว และว่าตอนนี้ตนได้ย้ายทะเบียนมาเป็นคนกรุงเทพฯแล้ว

เมื่อถามถึงกรณี ร้องเรียนการยุบพรรคพลังประชารัฐจากกรณีเงินของนายตู้ห่าวแสดงว่า นายทะเบียนมีความเห็นยุติเรื่องแล้วใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ยุติไปแล้ว เพราะเพราะเงินนั้นเป็นเงินตามกฎหมายอื่น ซึ่งไม่มีใครมาวินิจฉัยว่ามันเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเราก็จะเอามาเป็นเหตุให้ยุบพรรคไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเราพิสูจน์และฟังเขาจะจริงมาได้เท่านี้ เราไม่มีหน่วยงานไหนมาพิสูจน์และยืนยันได้ว่าเงินที่นายตู้ห่าวเอามาบริจาคนั้นมีที่มาที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password