“จุรินทร์” เปิดตัวเลขธุรกิจจดทะเบียนใหม่ 6 เดือนแรกทะลุ 47,286 ราย มูลค่าพุ่ง 4.2 แสนล้าน
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.พาณิชย์ เผย ยอดธุรกิจจดทะเบียนใหม่ 6 เดือนแรกปีนี้ กว่า 47,286 ราย มูลค่ากว่า 428,000 ล้านบาท บวก 53% ธุรกิจตั้งใหม่ 3 อันดับแรก ก่อสร้าง-อสังหา-ร้านอาหาร
วันที่ 20 ก.ค.2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนมิถุนายน 2566 และครึ่งปีแรก 2566 (ม.ค.-มิ.ย.66) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวน 7,626 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 39,739.72 ล้านบาท และประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 598 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 591 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 338 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,960 ราย คิดเป็น 65.04% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,517 ราย คิดเป็น 33.01% และ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 124 ราย คิดเป็น 1.63% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 25 ราย คิดเป็น 0.33% ตามลำดับ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.66) มีจำนวน 47,286 ราย เทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 40,301 ราย เพิ่มขึ้น 6,985 ราย คิดเป็น 17.33% โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 3,601 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3,499 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารจำนวน 2,197 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ
มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปีแรกปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.66) มีจำนวนทั้งสิ้น 428,647.49 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 280,604.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148,042.70 ล้านบาท คิดเป็น 53% ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 31,474 ราย คิดเป็น 66.56% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 15,123 ราย คิดเป็น 31.98% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 578 ราย คิดเป็น 12.22% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 111 ราย คิดเป็น 0.23%
สำหรับธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวน 1,659 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 6,295 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 169 ราย คิดเป็น 10% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 91 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 50 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ และเมื่อแบ่งตามช่วงทุน ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,178 ราย คิดเป็น 71.01% ช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 405 ราย คิดเป็น 24.41% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 66 ราย คิดเป็น 3.98% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 10 ราย คิดเป็น 0.60% ตามลำดับ
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการครึ่งปีแรกปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.66) มีจำนวน 7,097 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 49,604.72 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 772 ราย คิดเป็น 11% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 364 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 202 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ เมื่อแบ่งตามช่วงทุน ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 4,953 ราย คิดเป็น 69.79% ช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 1,821 ราย คิดเป็น 25.66% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 287 ราย คิดเป็น 4.04% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 36 ราย คิดเป็น 0.51% ตามลำดับ
โดยธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ 30 มิถุนายน 2566 ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ มีจำนวน 882,055 ราย มูลค่าทุน 21.41 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,488 ราย คิดเป็น 23.07% บริษัทจำกัด จำนวน 677,156 ราย คิดเป็น 76.77% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,411 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ และธุรกิจแบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 516,546 ราย คิดเป็น 58.56% รวมมูลค่าทุน 0.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.12% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 269,896 ราย คิดเป็น 30.60% รวมมูลค่าทุน 0.92 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.31% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 77,925 ราย คิดเป็น 8.83% รวมมูลค่าทุน 2.13 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.98% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,688 ราย คิดเป็น 2.01% รวมมูลค่าทุน 17.89 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.59% ตามลำดับ.