ตามใบสั่ง!!!

(เหนือกว่าชัยชนะทางการทหาร คือชัยชนะทางการทูต! อาเซียน “บีบ” กัมพูชา…ต้องเดินตามเกมไทย)

เวทีอาเซียนสมัยพิเศษที่เพิ่งเสร็จสิ้นหมาดๆ รอบนี้…ไม่มี “สั่งหยุดยิง” แต่ “ยกระดับ” เป็นกรอบบังคับทางการเมืองให้กัมพูชา ต้องลงโต๊ะเจรจา GBC ที่เมืองจันทน์ วันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค.) ถกให้จบ! “วิธีหยุดยิง – ผู้ตรวจสอบ – การพิสูจน์ผล” ตามสูตรที่ไทยวางไว้ทุกเม็ด!!! พร้อมผูกปม “เก็บกู้ทุ่นระเบิด” เป็นเงื่อนไขแห่งศักดิ์ศรีและความชอบธรรม สู่เกม “จัดระเบียบ” ชายแดนใหม่
บรรยากาศหลัง การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ชัดขึ้นทุกชั่วโมงว่า “ศูนย์กลางอาเซียน” ถูกดึงกลับมาอยู่ในภาพแล้ว
แต่ “คันโยกจริง” ที่จะ ปิดจบ! เรื่องนี้…กลับถูกส่งต่อไปยัง กลไกทวิภาคี ที่…ฝ่ายไทย ต้องการให้เป็น “สนามหลัก” ยุติทุกข้อขัดแย้งระหว่างกัน!
ชนิดต้องมีแบบแผน!!??
นั่นคือ…การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 24 ธันวาคม ที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งได้ถูกออกแบบให้เป็น…เวทีลงรายละเอียดการหยุดยิง “เชิงปฏิบัติ” และการตรวจสอบการหยุดยิง “เชิงระบบ”
มากกว่า…การประกาศหยุดยิง “เชิงวาทกรรม” ที่เกิดแล้วพังซ้ำมาแล้วหลายรอบ! เหมือนที่แล้วๆ มา
หากอ่าน…ถ้อยแถลง ของ นายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียน และ ถ้อยคำ จาก ฝ่ายไทย ให้ครบ! จะเห็นโครงสร้างเดียวกันกำลังถูกย้ำซ้อนหลายชั้น…
อาเซียนแสดงความกังวลต่อการสู้รบ, ความเสียหายต่อพลเรือน, การพลัดถิ่น และเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยับยั้งชั่งใจ, เร่งยุติการสู้รบ, ฟื้นฟูความไว้วางใจ และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาผ่าน “กลไกทวิภาคี”
พร้อม เปิดพื้นที่ให้ “ประธานอาเซียน” มีบทบาทเอื้ออำนวย
รวมถึง…แนวคิดเรื่องการสังเกตการณ์ของ คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) และการผลักดันความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน
ขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็ย้ำตรงกันว่า… GBC 24 ธ.ค. จะเป็นวงที่ “ทหารทั้ง 2 ฝ่าย” ต้องคุยเรื่อง implementation, steps และ verification ให้ชัด
จุดที่ทำให้การประชุมครั้งนี้ “ไม่ธรรมดา” ไม่ได้อยู่ที่…ถ้อยคำเรียกร้องให้หยุดยิง ซึ่งเป็น “สูตรมาตรฐาน” ของการทูต แต่คือ…การที่ อาเซียน “รับรองรูปแบบ” ที่ไทยพยายามลากให้ทั้งภูมิภาคยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน…
การหยุดยิง! จะเกิดไม่ได้ด้วยการประกาศฝ่ายเดียว หรือประกาศในเวทีโลก แต่ต้องเกิดจากการคุยรายละเอียดและกลไกตรวจสอบร่วมกันในกรอบทวิภาคี
และ กรอบนี้เอง…ที่ไทยสามารถ กำหนดกติกา ความเร็ว และเงื่อนไข ได้มากกว่า…เวทีสหประชาชาติ หรือ เวทีที่ชาติมหาอำนาจ จัดทำขึ้นมา…
กล่าวให้ตรงไปตรงมา เวทีอาเซียนไม่ได้ออก “มติบังคับ” ในความหมายเชิงกฎหมายให้กัมพูชาต้องทำตามคำสั่งของไทยทันที แต่ได้ออก “กรอบการเมือง” ที่สร้างต้นทุนให้กัมพูชามีสูงขึ้น! หากยังเลือกเดินสายประกาศหยุดยิงต่อโลกโดยไม่ลงรายละเอียดกับไทย
เพราะจากถ้อยแถลงของ ประธานอาเซียน ระบุชัดว่า GBC 24 ธ.ค. คือ…พื้นที่สำหรับการหารือเรื่อง “การดำเนินการและการตรวจสอบการหยุดยิง” ซึ่งนั่นเท่ากับ…
อาเซียนช่วย “ปักหมุด” ให้กัมพูชา ต้องมาหารือกับไทยบนโต๊ะนี้ ถ้าอยากได้เครดิตในเรื่อง “สันติภาพ” และอยากลด “แรงกดดัน” ระหว่างประเทศจริงๆ
เมื่อกรอบ “ถูกล็อก” แล้ว ไทยจึง…ยกระดับ “เงื่อนไข 3 ข้อ” ให้กลายเป็น…ทางผ่านเดียว ของคำว่า…ceasefire ที่จะถูกยอมรับในสนามการทูต
หนึ่ง กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายขอ/เสนอหยุดยิงอย่างเป็นทางการ
สอง ต้องพิสูจน์ว่าหยุดยิง “จริง” และ “อยู่ได้” ด้วยระบบติดตามตรวจสอบ ไม่ใช่คำประกาศ
และ สาม ต้องร่วมมืออย่างจริงจังในการเก็บกู้/ทำลายทุ่นระเบิด เพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ปัญหา นั่นเพราะฝ่ายไทยชี้ว่า…การบาดเจ็บของทหารไทยจากทุ่นระเบิดซ้ำๆ ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจและสะท้อนการละเมิดข้อตกลงเดิม
3 ข้อนี้…ดูเหมือนเป็น ถ้อยคำการทูตทั่วไป แต่ใน เชิงยุทธศาสตร์ แล้ว มันคือ “สวิตช์คุมเกม” ของไทย!!!
เพราะไทย…กำลังเปลี่ยนการเจรจาจาก “หยุดยิงเพื่อหยุดเสียงปืน” ไปเป็น “หยุดยิงเพื่อจัดระเบียบพื้นที่???”
หมายความว่า…ฝ่ายไหน? ก็ตามที่อยากได้หยุดยิง! จะต้องยอมรับก่อนว่า…การหยุดยิงเป็นกระบวนการ ไม่ใช่ประโยค และกระบวนการนั้น…มีผู้ตรวจสอบ, มีตัวชี้วัด และมีมาตรการตอบโต้หากละเมิด
เมื่อไทย…เป็น ฝ่ายผลักดันและสร้างกรอบนี้ขึ้นมา จึงย่อมมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ!!!
นี่คือ…เหตุผลจากคำพูดของฝ่ายไทย ที่ระบุว่า “กัมพูชาพูดเรื่องหยุดยิงทุกที่ ยกเว้นพูดกับไทย”
และสิ่งนี้…หาได้เป็นเพียงการเหน็บแนม แต่เป็น…การประกาศ “เส้นทางเดียว” ให้กัมพูชาเดินกลับเข้ามาในสนามที่ไทยถนัด และห้ามหนีไปใช้เวทีโลกเป็นเครื่องมือกดดันข้ามหัวโต๊ะทวิภาคี!!!
อีกด้านหนึ่ง…การขยับของ มหาอำนาจ ก็เป็น แรงเสริมแบบเงียบๆ ให้ไทยใช้กรอบอาเซียนได้เต็มมือ เพราะทั้ง สหรัฐฯ และจีน ต่างส่งสัญญาณอยากเห็นการลดระดับความตึงเครียดโดยเร็ว
สื่อระดับโลกชี้ว่า…มีความพยายามทางการทูตจากหลายฝ่าย รวมถึงจีน…ที่ประกาศบทบาทการส่งเสริมการปรองดองและการเจรจาระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง และมีการจับตาการขับเคลื่อนของอาเซียนในการหาทางออก
เมื่อ ชาติมหาอำนาจ “อยากให้หยุด” แต่อาเซียน “อยากให้จบแบบภูมิภาคแก้กันเอง”
ไทยจึงได้ประโยชน์ 2 ต่อ…1. ได้แรงส่งให้โต๊ะเจรจา GBC เดินหน้า และ 2. ได้ฉากหลังเรื่อง ASEAN centrality ที่ช่วยลดข้อครหาเรื่องการถูกต่างชาติกดดัน
แต่หัวใจจริงของเกมอยู่ที่ “พรุ่งนี้” 24 ธันวาคม ที่จันทบุรี เพราะ GBC ไม่ใช่วงพูดสวยหรู แต่เป็นวงที่ต้องทำในสิ่งที่สื่อเรียกง่ายๆ ว่า “Trash out the details” นั่นคือ…
ทำให้หยุดยิงสะท้อนสภาพจริงบนพื้นดิน และมีระบบที่ทำให้หยุดยิงอยู่ได้!!!
หากไทยสามารถดันให้ที่ประชุมฯวงเล็ก ตกผลึกอย่างน้อย 3 ชุดมาตรการ ประกอบด้วย…
(1) กรอบเวลาหยุดยิงและพื้นที่บังคับใช้
(2) กลไกตรวจสอบ/รายงาน/สื่อสารทหารต่อทหาร
และ (3) แพ็กทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
ฝ่ายไทยเอง ก็จะได้ “เครื่องมือบังคับพฤติกรรม” ของกัมพูชา โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว!!!
เพราะทันทีที่มี ระบบตรวจสอบร่วมกัน ทุกเหตุ “ผิดปกติ” จะถูกแปลเป็นข้อมูล ไม่ใช่โวหาร
และเมื่อ…ข้อมูลถูกบันทึกเป็นรายวัน และรายสัปดาห์ ความจริงจะมีน้ำหนักมากกว่าสงครามข่าว
และนี่คือ…สนามที่ไทยต้องการมากที่สุด! หลังจากภาพการสู้รบทำให้สังคมไทยตึงเครียด และพื้นที่ชายแดนเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ต้องพูดให้แฟร์ว่า…กัมพูชาเองก็เดินเกม 2 ขา?… ขาหนึ่ง นั่งโต๊ะเจรจา อีกขาหนึ่ง เดินสายสื่อสารกับโลกเพื่อยึดพื้นที่ความชอบธรรม เช่น การเผยแพร่ “จดหมายเปิดผนึก” ที่อ้างไทยเป็นผู้รุกรานและโยงกับกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
ในเชิงยุทธศาสตร์ นี่คือ…ความพยายามทำให้ไทยต้องแบกต้นทุนภาพลักษณ์ และต้นทุนทางกฎหมายระหว่างประเทศ แม้ไทยจะยืนยันว่า…ต้องกลับสู่ “กลไกทวิภาคี” ก็ตาม
ดังนั้น “ใบสั่งของไทย” ที่จะบีบให้กัมพูชาเดินตาม จึงไม่ใช่การบีบด้วยกำลัง แต่เป็นการบีบด้วยกติกา—ให้กัมพูชารับภาระการพิสูจน์ถึงการหยุดยิงและความจริงใจในทุกวัน
ส่วนจะขยายผลไปถึงการ “ตีเส้นแบ่ง” พรมแดนใหม่ ตามที่ฝ่ายไทยต้องการ คือ มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งยังเป็น “จุดขัดแย้ง” เชิงเทคนิค ได้หรือไม่? ขึ้นกับการเจรจาจาก ระดับ GBC ปูทางไปสู่ระดับ JBC (Joint Boundary Commission) หรือ เวทีเทคนิคด้านเขตแดน
บนความได้เปรียบที่ฝ่ายไทยมี และบีบให้ทางกัมพูชา ต้องยอมรับสภาพ ในฐานะ “ผู้เสมือนคนแพ้”
พูดให้ชัด! GBC คือ “ประตู” ที่นำไปสู่จุดของการ “หยุดยิง” ที่มีระบบตรวจสอบ ตามมาด้วย…แพ็กเกจร่วมเก็บกูทุ่นระเบิด และการลดระดับกำลัง”
แค่นี้…ก็ “บีบกัมพูชา…เดินตามใบสั่งของไทย” ได้แล้ว
แม้จะไม่ถึงขั้น “ยอมไทยทุกเรื่อง” แต่ก็ทำให้กัมพูชา “ยอมในกติกาที่ไทยเขียน” ขึ้นมา
ถ้า การประชุม GBC 24 ธันวาคมนี้ ทำให้เกิด “โครงสร้างหยุดยิง” อย่างน้อยใน 3 มิติ คือ เวลาและพื้นที่บังคับใช้, กลไกตรวจสอบ และแพ็กทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
และเมื่อโครงสร้างนี้ ถูกผูกเข้ากับสิ่งที่อาเซียนให้ความชอบธรรมไว้แล้ว เช่น การลดระดับกำลัง, การคุ้มครองพลเรือน, การให้คนกลับบ้านอย่างปลอดภัย และการฟื้นความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด…กัมพูชาจะยิ่ง “หันหลังกลับยาก!”
เพราะ…ต้นทุนทางการเมืองและต้นทุนภาพลักษณ์จะสูงขึ้นทันที! หากฝ่ายกัมพูชา…พยายามหนีกลับไปใช้ “เวทีโลก” เป็นเครื่องมือกดดันแบบเดิม
แต่เกมนี้ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นั่นเพราะ “หยุดยิงแบบมีระบบตรวจสอบ” ไม่ได้แปลว่า…จะไม่มีเหตุป่วน? มันแปลเพียงว่า…เมื่อมีเหตุป่วนจะต้องมี “ช่องทางรับมือ” ที่ไม่ทำให้ลามเป็นการปะทะใหญ่
ความเสี่ยงอันดับหนึ่ง คือ “เหตุไม่ทราบฝ่าย?” ไม่ว่าจะเป็น….การยิงปะทะย่อย, การอ้างการล้ำพื้นที่, เหตุโดรน หรือเหตุเกี่ยวกับทุ่นระเบิด ฯลฯ
ถ้ากลไกตรวจสอบยังคลุมเครือ ทุกเหตุ…จะถูกแปลกลับเป็น “สงครามข่าว” และความไว้ใจต่อกัน…จะพังในพริบตา!!!
ความเสี่ยงอันดับสอง คือ แรงกดดันในประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย…เพราะ การเจรจาทวิภาคี ไม่ได้เกิดในภาวะสุญญากาศ แต่เกิดขึ้นท่ามกลาง…การเมืองภายในของ 2 ชาติ, การสื่อสารของ “ผู้นำ” และความรู้สึกของ “สังคม” ที่อยู่หน้าแนวปะทะจริง
ดังนั้น ถ้าพรุ่งนี้ GBC ออกมาได้แค่คำสวยๆ โดยไม่มี “วิธีทำ” จริง! ไทยจะเสียจังหวะ เพราะ…กรอบอาเซียนกำลังเปิดพื้นที่ให้ไทยเป็นผู้ออกแบบระบบ แต่ถ้าออกมาเป็น “แพ็ก” ที่ชัดเจน! ไทยก็จะได้สิ่งที่เหมือน “ใบสั่ง” จริงๆ…ไม่ใช่ “ใบสั่ง” ที่ยื่นให้กัมพูชาเซ็นรับ เท่านั้น
เป็น “ใบสั่ง” ที่ทำให้กัมพูชา…จำเป็นต้องเดินตาม หากต้องการให้สถานการณ์คลี่คลายและลดแรงกดดันจากภูมิภาคและมหาอำนาจไปพร้อมกัน
และเมื่อถึงจุดนั้น…ภาพใหญ่จะเริ่มชัด ว่า GBC ไม่ใช่ “ปลายทาง” แต่มันคือ “ประตู” ไปสู่ขั้นถัดไป!!!
การค่อยๆ สร้างสภาพแวดล้อมให้กลไกเทคนิคเขตแดนในระดับที่สูงขึ้นเดินต่อได้จริงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น JBC หรือกรอบเทคนิคใดๆ ที่ต้องใช้เอกสาร หลักฐาน และระบบเป็นตัวตัดสิน มากกว่าการปลุกอารมณ์ด้วยการเมืองหรือสงครามข่าว
สรุป! สงครามชายแดนรอบนี้ ไม่ได้ตัดสินกันที่ใครประกาศหยุดยิงก่อน แต่ตัดสินกันที่…ใคร “เขียนกติกาหยุดยิง” ได้ก่อน และทำให้กติกานั้น “บังคับใช้ได้จริง”
วันนี้…ไทยกำลังใช้ เวทีอาเซียน เป็น “คันโยก” ให้กัมพูชาต้องกลับมาสู่สนามที่ไทยออกแบบ!
เริ่มจาก…จันทบุรี 24 ธันวาคม แล้วค่อยไต่ระดับไปสู่โจทย์ใหญ่กว่า นั่นคือ…ความไว้ใจ, ความมั่นคงชายแดน และโต๊ะเทคนิคเขตแดน ที่ต้องชนะด้วย “หลักฐาน” ไม่ใช่ “คำประกาศ”
เพราะใน โลกของการทูต นั้น…เหนือกว่าชัยชนะทางการทหาร คือ…ชัยชนะทางกติกา
และถ้ากติกาถูกเขียนโดยไทย…กัมพูชาก็จะไม่มีทางเลือกอื่น??? นอกจากต้องเดินตาม “ใบสั่ง” ทีละข้อ ทีละขั้น…จนกว่าเกมนี้จะจบลง! ในแบบที่ไทยต้องการ!!!.






