ทางออก…มหาวิกฤต!!!

ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือเครือข่ายวายุภักษ์ เรียกสั้น ๆ คือ “ศูนย์ฯวายุภักษ์” ที่ รองนายกฯเอกนิติ ตั้งขึ้นมา มิต่างจาก…“ศูนย์บัญชาการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนยามวิกฤต” โดยเฉพาะกับพื้นที่ภาคใต้ นับเป็นที่สุดสำหรับ “เครื่องมือช่วยเหลือที่เร็วและตรงจุด!” ของรัฐบาลอนุทิน สิ่งนี้…จะกลายเป็น “จังหวะสำคัญ” ของภารกิจด้านการคลัง ที่ต้องลงพื้นที่จริง ประคองชีวิตและเศรษฐกิจให้กลับมายืนได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง!!!

มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา สร้างความเสียหายในทุกมิติ ทั้งต่อคนในพื้นที่ สะเทือนไปถึงรัฐบาลในส่วนกลาง

ไม่แปลก! หากกลุ่มคนเห็นต่าง? จะมองท่วงท่าของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ดำเนินการไปในลักษณะ “ลอยตัว” โยนให้หน่วยงานและคนในบังคับบัญชา กำกับดูแลแก้ไขปัญหาแบบไร้เอกภาพ

จนมีเสียงก่นด่า! ทำนอง  นายกฯอนุทิน “ลอยตัว” ในท่ามกลางปัญหา “ลอยคอ” ของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะ…อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

ส่วนสำคัญ! คงเพราะ…ปลายด้ามขวานทองแห่งนี้ มีสัดส่วน ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย น้อยมาก และอาจไม่คุ้มค่าหากต้อง “เทหน้าตัก” ชนิด หมดตัว! เพื่อแก้ไขปัญน้ำท่วมครั้งใหญ่

หากทำไม่สำเร็จ “เอาไม่อยู่!” อาจโดนประนามเหมือนกับที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในอดีต เคยโดนเมื่อปี 2554

ทำเอา เจ้าตัว…ต้องปรับแผนเร่งด่วน! ลงพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังจมน้ำแบบฉับพลัน! พร้อมกับประกาศดัง ๆ ให้ได้ยินทั่วกันว่า….“น้ำไม่ลด ไม่กลับ!”

พร้อมยกเลิกภารกิจตลอดสัปดาห์เพื่อปักหลักบัญชาการในพื้นที่ อ.หาดใหญ่

โชคดีที่สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่…เริ่มจะคลี่คลายบ้างแล้ว แต่ปัญหา…ก็ยังไม่จบ! และภายหลังหากน้ำลด…ยังจะมีประเด็นปัญหาอีกหลายปมให้ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องเร่งมือ…แก้ไขปัญหาที่จะมีตามมา?

คำประกาศข้างต้นของ นายกฯอนุทิน ( “น้ำไม่ลด ไม่กลับ” ) อาจไม่ใช่เพียงแค่ “ถ้อยแถลง” เชิงสัญลักษณ์ แต่มันสะท้อน “ภาวะผู้นำ” ในห้วงเวลาที่ประชาชนต้องการความเชื่อมั่น ว่า…

ยังมีรัฐอยู่เคียงข้าง!!!

การตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า, การระดมกำลังจากกองทัพ ตำรวจ ปภ. และภาคส่วนต่าง ๆ เป็นการลงมือแก้ไขเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นในขณะน้ำหลาก อย่างไรก็ตาม วิกฤตระดับนี้ ไม่เคยเป็นแค่…เรื่องของการอพยพ หรือการแจกจ่ายสิ่งของอย่างเดียว หากแต่เป็น “วิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคมของทั้งภูมิภาค” ที่ต้องการกลไกด้านการคลัง…ลงไปช่วยประคอง ตั้งหลัก และฟื้นคืน

จากการประเมินของ นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสมือนเป็นสัญญาณเตือนอย่างแรง! ว่า…

ความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ อาจทะลุหลักหนึ่งหมื่นล้านบาท!!??

ทั้งจาก…ภาคการผลิตอาหารที่สะดุด, ห่วงโซ่อุปทานที่ขาดตอน, การขนส่งที่เป็นอัมพาต และภาคบริการ–ท่องเที่ยวที่หยุดชะงักทันที!

ความเสียหายที่แท้จริง…ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินที่จมน้ำ แต่มันคือ…ค่าใช้จ่ายแฝง, ค่าปรับการส่งออก, ความน่าเชื่อถือของธุรกิจไทยในตลาดโลกที่ถูกกระทบ และ “ค่าเสียโอกาสมหาศาล” ที่มองไม่เห็นจากตัวเลขเพียงผิวหน้า

การประเมินจาก หอการค้าไทย เช่นนี้ จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขเศรษฐกิจ แต่เป็น “คำเตือน” ว่า…การเยียวยาจะต้องเป็น “แผนการคลังที่แม่นยำ!” มากกว่าจะเป็น “การแจกแบบเหมาจ่าย?”

ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ประกาศตั้ง “ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือเครือข่ายวายุภักษ์” เพื่อรับบทเป็นกลไกหลักด้านการคลังของรัฐบาลในภาวะวิกฤตครั้งนี้

ไฮไลท์สำคัญ? น่าจะเป็น “คำจำกัดความ” ที่ชัดเจนที่สุด! สามารถ “สะท้อน” เจตนารมณ์ของศูนย์ฯดังกล่าว ก็คือการเป็น…“ศูนย์บัญชาการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนยามวิกฤต”  

บทบาทของ “ศูนย์ฯเครือวายุภักษ์” ไม่ใช่…ศูนย์รับของบริจาคธรรมดา แต่เป็น “หัวใจ” ของการออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูอย่างเป็นระบบจากส่วนกลาง…

โดย บูรณาการ “ทุกเครื่องมือ” ด้านการคลังที่มี! ไม่ว่าจะเป็น…การพักหนี้, การลดดอกเบี้ย, สินเชื่อฉุกเฉิน, สินเชื่อฟื้นฟู, เงินอุดหนุน, การดูแลการเคลมประกันภัย ไปจนถึง…การตั้ง “ศูนย์พักพิง” บนพื้นที่ราชพัสดุและการจัดการด้านทรัพยากรอื่น ๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง

ดร.เอกนิติ ระบุว่า…กระทรวงการคลังได้มีการตั้ง “ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือเครือข่ายวายุภักษ์” เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแก่ผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง

มอบหมายให้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็น…ประธานในการบูรณาการการปฏิบัติงาน ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดนำกรอบการช่วยเหลือผู้ประสบภัย 3 ระยะ คือ “ช่วยเหลือ” “เยียวยา” และ “ฟื้นฟู”

พร้อมเร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเป็นระบบ ตามขอบเขตความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลัง โดยมี ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือเครือข่ายวายุภักษ์ เป็น  “ศูนย์กลาง” ในการบริหารจัดการและติดตามสถานการณ์จากส่วนกลางอย่างใกล้ชิด

ศูนย์ฯวายุภักษ์ จึงทำงาน 3 มิติพร้อมกันตั้งแต่นาทีแรก

มิติแรก…คือ การช่วยเหลือเร่งด่วน ด้วยการ ตั้งศูนย์รับบริจาค “ธารน้ำใจ” ที่อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง พร้อมจัดหมวดหมู่สิ่งของจำเป็นแบบเจาะจงเพื่อให้การส่งมอบถึงพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

นี่เป็นความแตกต่างจากการรับบริจาคปกติ ที่มักกระจัดกระจายและไม่สอดคล้องกับความต้องการจริง

ศูนย์ฯวายุภักษ์ ทำหน้าที่เสมือน “คลังกลาง” ของภาคส่วนการคลัง ทำการ…คัดแยกสิ่งของ และเชื่อมโยงกับศูนย์อพยพหลายแห่งในภาคใต้ ซึ่งขณะนี้หลายจุด มีผู้อพยพล้นเกินขีดความจุ เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่รับได้ 3,000 คน แต่มีผู้อพยพกว่า 5,000 คน

การส่งของอย่างแม่นยำ! จึงมีความหมายมากกว่า…ความสะดวกสบาย แต่มันคือ “การคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของผู้ประสบภัย” ในยามที่ทุกอย่างรอบตัวสั่นคลอน

มิติที่สอง…คือ การเยียวยาให้ประชาชนและผู้ประกอบการตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว นี่คือ ด้านที่ “ศูนย์ฯวายุภักษ์” มีเอกลักษณ์ เพราะเป็น “ศูนย์เดียว” ที่สามารถ “ระดม” ทุกเครื่องมือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตั้งแต่…

การพักชำระหนี้อัตโนมัติ, การลดดอกเบี้ย, สินเชื่อซ่อมแซมบ้าน–ร้านค้า ไปจนถึงสินเชื่อหมุนเวียนสำหรับโรงงานอาหารและธุรกิจที่ต้องส่งออก, การร่วมประสานกับคปภ. เพื่อเร่งกระบวนการเคลมประกันภัย ทำให้ประชาชนไม่ถูกปล่อยให้เผชิญภาระต้นทุนการซ่อมแซมตามลำพัง หลังสิ้นสุดภาวะน้ำท่วมจริง

ความเร็วของการเยียวยา คือ อีกหนึ่งของความต่างระหว่างการ “รอดได้ทันเวลา” กับการ “ล้มสลายทางเศรษฐกิจแบบถาวร”

และ ศูนย์วายุภักษ์…ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลดระยะห่างนั้นให้มากที่สุด!!!

อีกด้านหนึ่ง วิกฤตในครั้งนี้…ยังได้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการภาคอาหารและภาคบริการในภาคใต้ต้องการมากกว่าการฟื้นฟูทรัพย์สิน แต่ต้องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาด!!??

ทั้งนี้ ผู้บริหารหอการค้าไทย ยังเผยว่า…แม้โรงงานหลายแห่งไม่ถูกน้ำเข้าท่วมโดยตรง แต่ได้รับผลกระทบแบบมองไม่เห็น เช่น วัตถุดิบเข้าโรงงานไม่ได้ แรงงานเดินทางไม่ได้ สินค้าส่งออกต้องเลื่อนกำหนดส่ง และอาจถูกปรับค่า penalty จากต่างประเทศ

ความเสียหายนี้..จึงไม่ใช่เรื่องโครงสร้าง แต่เป็นเรื่อง “ชื่อเสียงธุรกิจ” ที่อาจฟื้นยากกว่ากำแพง หรือหลังคาเสียหาย

นี่คือ…จุดที่มาตรการการคลังต้องออกแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น วงเงินหมุนเวียนฉุกเฉิน, การค้ำประกันสินเชื่อเพื่อชดเชยค่าปรับส่งออก หรือ “แพ็กเกจ” ฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในหาดใหญ่แ ละเมืองเศรษฐกิจอื่น ๆ

สิ่งเหล่านี้ เป็น…จุดที่ “ศูนย์วายุภักษ์” ควรต่อยอด! เพราะมีศักยภาพครบ ทั้งข้อมูล, กลไก และสถาบันการเงินในมือ

มิติที่สาม คือ การฟื้นฟูระยะยาวให้เศรษฐกิจท้องถิ่นกลับมายืนได้อย่างยั่งยืน! นี่เป็นพื้นที่ที่ นโยบายการคลังต้อง “คิดไกลกว่าการช่วยให้ผ่านเดือนหน้า” แต่ต้องออกแบบให้ธุรกิจและชุมชนสามารถทนทานต่อความเสี่ยงน้ำท่วมในอนาคตได้

ศูนย์ฯวายุภักษ์ จึงถูกวางให้มีบทบาทสำคัญ ในการ ผลักดันโครงการสินเชื่อฟื้นฟูลการยกระดับระบบสาธารณูปโภค และการสร้างกลไกด้านการคลังแบบใหม่ เช่น กองทุนภัยพิบัติ กลไกจ่ายเงินอัตโนมัติเมื่อประกาศภัยพิบัติ และการประสานงานระหว่างหน่วยงานด้านการคลังกับงานด้านน้ำและผังเมือง

เพื่อให้การฟื้นฟู! ไม่ใช่เพียง…การ “ยกพื้นบ้าน” แต่เป็นการ “ยกฐานราก!” ของความปลอดภัยทั้งระบบ!!!

การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ต้องทำอย่างเร่งด่วน ควบคู่ไปกับการทำงานอย่างเป็นระบบ และบูรณาการทรัพยากรของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานในสังกัดฯ ให้ไปถึงประชาชนและภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายสำคัญในตอนนี้ คือ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัยในชีวิต ขณะเดียวกัน หน่วยงานในสังกัด ทั้งภาคราชการ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และหน่วยงานในกำกับ จะดำเนินการเร่งออกมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูให้กับผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับ การทำให้ชีวิตของประชาชน รวมถึง เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ปลอดภัย และ ได้รับความช่วยเหลือในทุกมิติอย่างเร็วที่สุด รวมถึงมีขวัญกำลังใจที่ดีตามมา ซึ่งจะได้มีการพิจารณาออกมาตรการตามความเหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรี ต่อไป” ดร.เอกนิติ ย้ำในตอนท้าย

หลายครั้ง! ในห้วงเวลาของวิกฤตใหญ่ของประเทศ เรามักจะเห็น หน่วยงานหลายศูนย์…ทำงานอิสระ แยกกันและอาจซ้ำซ้อน??? การที่ ดร.เอกนิติ จัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือเครือข่ายวายุภักษ์” กลับไม่ใช่การ “เพิ่มศูนย์ใหม่” เพื่อความซับซ้อน!!!

หากแต่เป็น..การกำหนด “จุดศูนย์กลาง” ด้านการคลังให้มีความชัดเจน! เพื่อให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง สามรถเดินหน้าทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

และที่สำคัญ…มันยังจะสอดรับกับ “ข้อมูลภาคสนาม” จาก…ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลจาก Traffy Fondue, hatyaiflood.com และระบบ AI

“แยกสี” ของผู้ต้องการความช่วยเหลือกว่า 70,000 คน

หาก ศูนย์ฯวายุภักษ์ สามารถเชื่อมข้อมูลเหล่านี้ กับฐานข้อมูลด้านการคลังได้อย่างเป็นระบบ จะทำให้การช่วยเหลือและเยียวยามีความแม่นยำ, ไม่ซ้ำซ้อน และไปถึงคนที่ควรได้รับก่อนอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด! วิกฤตมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงในรอบนี้…อาจกลายเป็น “บททดสอบ” ของความสามารถในการ “รวมพลัง” ของระบบราชการไทย

และเป็นบทพิสูจน์ว่า…นโยบายการคลัง จะไม่ใช่เรื่อง “ตัวเลข” ในกระดาษ แต่เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ในการคุ้มครองคุณภาพชีวิตของประชาชน

ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่า…ศูนย์ฯวายุภักษ์ ในฐานะ “ศูนย์บัญชาการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนยามวิกฤต” จึงน่าจะเป็น “หมุดหมายสำคัญ!” ที่รัฐบาลและกระทรวงการคลัง จะต้องเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง!!!

ทั้งใน…ระยะช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู เพื่อให้…ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ ไม่เพียงได้รับการ “ฟื้นตัว – เยียวยา” จากมหาอุทกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้

แต่ยังทำให้ พวกเขา…ทุกคนทุกกลุ่ม สามารถจะกลับมายืนได้อย่างเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password