‘คนละครึ่ง’ ต่อลมหายใจ???

หลายคนนอก! ปฏิเสธร่วม “ครม.อนุทิน” หาใช่เพราะ…รัฐบาลอายุสั้น “แค่ 4 เดือน” แต่เป็นผลมาจากหน้าตา รมต.บางคน? ที่ไม่น่าไว้วางใจ!!! กระนั้น เกมนี้ “นายกฯอนุทิน” จึงต้องแก้…ด้วยการ “ปัดฝุ่น” โครงการคนละครึ่ง ที่ไม่เพียงต่อลมหายใจรัฐบาล หากยังช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ ในทางการเมืองได้อีก
ขณะที่ การเมืองฟากหนึ่ง “หมดโปรฯ” และ ไม่เป็นที่ไว้วางใจ! จาก…กลุ่มคน “ผู้กำหนดชะตากรรม” ของชาติ จนต้อง “บินหนี” ออกนอกประเทศไปตั้งหลัก! ในดินแดนห่างไกล
อีก ฟากการเมือง กลับได้รับโอกาสบริหารประเทศ แม้ในยามนี้…หลายคนอาจคิดว่า “มันสั้นนัก!” เพราะมี เงื่อนไข 5 ข้อ! ล็อกคอ อยู่…
แต่การเมืองไทย…เป็นเรื่องที่มักอยู่เหนือความคาดหมายเสมอ???
วานนี้…สัญญากันไว้ 4 เดือน แล้วยุบสภา! วันข้างหน้า…อาจมี “ข้อมูลใหม่” จนกลายเป็นเงื่อนไขต่อให้อายุ “รัฐบาลอนุทิน” ดำรงอยู่มากกว่าเงื่อนเวลาเก่า…
ระหว่างนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีป้ายแดง ลำดับที่ 32 ยอมรับแล้วว่า…กำลังจัดตั้ง “ครม.อนุทิน 1” ไว้บ้างแล้ว
นอกจากการ จัดสรรเก้าอี้ “รัฐมนนตรี” ให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ชนิด…อิ่มหมีพลีมัน! เพราะ “พลังเสียงโหวต” ส่วนใหญ่ คือ พรรคประชาชน ประกาศตัวก่อนหน้านี้แล้วว่า…ไม่ขอเข้าร่วมรัฐบาล!!!
ทว่าจากข่าวสารที่สื่อแขนงต่างๆ นำเสนอมา ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน…หน้าตาของ “ครม.อนุทิน 1” ดูไม่งามสง่าสักเท่าใด?
ขณะที่ “คนนอก” ซึ่ง พรรคแกนนำรัฐบาล ล็อกโควตาเอาไว้ 4-5 ตำแหน่ง นั้น…บางคนที่ได้ทาบทามเอาไว้ ต่างก็ปฏิเสธกันไปแล้ว
เหตุผลที่ให้กับข้อเท็จจริง! อาจไม่ตรงกันเลย…
แม้การโหวตเลือก นายอนุทิน เป็น “นายกฯคนใหม่” อาจสร้างความคาดหวังใหม่ ให้กับคนบางกลุ่ม? แต่ในทางกลับกัน…สิ่งนี้ ก็ตามมาด้วย ความสงสัยและความไม่เชื่อมั่นจากอีกหลายฝ่าย
โดยเฉพาะ กับ กระบวนการจัดตั้ง “ครม.อนุทิน 1” ที่ต้องเผชิญปัญหา ปม “บุคคลมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในสังคม” หลายรายปฏิเสธการเข้าร่วม ด้วยเหตุผลที่ผิวเผินคือ “เวลาทำงานน้อยเกินไปเพียง 4 เดือน”
แต่แท้จริงแล้ว…คำปฏิเสธข้างต้น อาจสะท้อนมาจากปัญหาภาพเรื่อง “ลักษณ์รัฐบาล” ที่อาจไม่ใช่รัฐบาลซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ทั้งในประเทศ และสายตานานาชาติ ได้
ความท้าทายนี้…จึงไม่ได้อยู่เพียงที่การบริหารประเทศ แต่ยังอยู่ที่…การสร้างศรัทธาและความไว้วางใจจากสังคมด้วย
ในบริบทเช่นนี้ “นโยบายเศรษฐกิจ” จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ “รัฐบาลอนุทิน” จำเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกจังหวะและตรงเป้า
การฟื้นคืนโครงการ “คนละครึ่ง” จึงถูกผลักดันขึ้นมาอย่างเด่นชัด!!!
ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากสังคมไทย ที่ยังจดจำ “ผลลัพธ์” ในอดีต ได้ว่า…โครงการนี้ สามารถจะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้จริง มีเงินหมุนเวียนในระบบจริง และที่สำคัญคือ “ประชาชนได้ใช้จริง”
ต่างจาก “นโยบายประชานิยม” บางโครงการของรัฐบาลก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า…เป็นเพียงคำสัญญาที่สวยหรู แต่ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็น…โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ติดขัดทั้งในด้านงบประมาณและระบบการตรวจสอบ หรือ โครงการใหญ่เชิงโครงสร้างอย่างรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ยังไกลเกินเอื้อมในทางปฏิบัติ เมื่อเทียบกับเวลาที่มีอยู่
ความจริงที่ประชาชนตระหนัก คือ รัฐบาลก่อนหน้านี้ “สัญญาแล้วทำไม่ได้” และกลายเป็น “ภาพจำเชิงลบ” ที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นในรัฐบาลนั้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การที่ “นายกฯอนุทิน” เลือกที่จะ “ปัดฝุ่น” โครงการคนละครึ่ง จึงเป็นมากกว่าเพียง มาตรการทางเศรษฐกิจระยะสั้น หากแต่เป็น กลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อ “กระตุ้นชีวิตรัฐบาล” ให้ฟื้นกลับมามีภาพลักษณ์เชิงบวกในสายตาสาธารณะในเวลาที่จำกัด
ภายในกรอบเวลา 4 เดือน! สิ่งนี้…อาจไม่เพียงพอต่อ การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง หรือการลงทุนโครงการขนาดใหญ่
การที่ “รัฐบาลอนุทิน” มุ่งไปที่ โครงการที่ทำได้ทันที! ประชาชนคุ้นเคย และสามารถสื่อสารได้ตรงไปตรงมา ว่า “นี่คือสิ่งที่รัฐบาลทำให้คุณแล้ว”
จุดแข็งของคนละครึ่ง คือ ความง่าย ความชัดเจน และการเข้าถึงได้ของคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่…ร้านค้ารายย่อย จนถึงประชาชนทั่วไป ที่ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ความรู้สึกว่า “มีเงินเพิ่มในกระเป๋า” จากการร่วมจ่ายของรัฐและประชาชนสร้างพลังเชิงบวกที่จับต้องได้ และทำให้ผู้คนรู้สึกว่ารัฐบาลกำลังทำงานเพื่อพวกเขาจริง ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับ โครงการของรัฐบาลชุดก่อน จะเห็น…ความแตกต่างปรากฏเด่นชัด!!!
กับนโยบายที่ได้ประกาศเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น…การขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำ การพัฒนาระบบดิจิทัลวอลเล็ต หรือการแก้ปัญหาค่าครองชีพผ่านมาตรการที่ซับซ้อน
ล้วนแต่ติดขัดในเชิงการปฏิบัติ!!!
และ สุดท้าย! กลับกลายเป็น “ภาระทางการคลัง” ที่ถูกวิจารณ์ว่า…เป็นการ “ผลักหนี้ในอนาคต” ไปให้กับประชาชนจำนวนมหาศาล
ดังนั้น การเลือกฟื้นโครงการเก่าที่เคยประสบผลสำเร็จ อย่าง “โครงการคนละครึ่ง” จึงไม่เพียงช่วย…ลดแรงต้านทางการเมือง แต่ยัง สร้างการเปรียบเทียบโดยอัตโนมัติ ว่า…
“รัฐบาลอนุทิน คือ รัฐบาลที่ทำได้จริง” แม้จะเป็นเพียงในระยะสั้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการในลักษณะนี้ ยังมีข้อจำกัดที่ต้องยอมรับว่า “ไม่อาจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริง” เนื่องเพราะ..เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหารายได้ของประชาชน ที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
ในท่ามกลางปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
รวมถึง ความท้าทายในระดับนานาชาติที่มาจากความไม่แน่นอนทางการค้าและการลงทุน
แต่ใน มุมของการเมือง…โครงการคนละครึ่ง กลับทำหน้าที่เป็น “ออกซิเจน” ที่ช่วยต่อชีวิตรัฐบาลให้เดินหน้าต่อได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
โดยเฉพาะในยามที่การตั้ง “ครม.อนุทิน 1” เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์เรื่องบุคคลและภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นบวกสักเท่าใด?
หาก “รัฐบาลอนุทิน” สามารถแสดงให้เห็นว่า…อย่างน้อยก็ยังมีมาตรการที่ทำได้จริง สามารถช่วยบรรเทาภาระชีวิตประจำวันของประชาชน และหมุนเศรษฐกิจในระดับฐานรากได้
ก็ย่อมทำให้แรงเสียดทานลดน้อยลง และเปิดโอกาสให้รัฐบาลมีพื้นที่หายใจเพื่อวางหมากทางการเมืองต่อไปในอนาคต!!!
ดังนั้น การฟื้น “โครงการคนละครึ่ง” จึงมีนัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์อย่างมาก เพราะมันได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ “เลือกสิ่งที่ทำได้” มากกว่าการ “สัญญาสิ่งที่ทำไม่ได้”
ความแตกต่างนี้!!! จะสร้าง “ผลลัพธ์เชิงภาพลักษณ์” ที่มีค่าต่อรัฐบาลใหม่อย่างที่สุด!
เพราะเมื่อประชาชนรู้สึกว่า…ได้รับประโยชน์จริง แม้จะเป็น “ประโยชน์ระยะสั้น” แต่มันก็เพียงพอที่จะสร้างความรู้สึกไว้วางใจบางส่วนกลับคืนมาได้
และ ในทางการเมือง…ความรู้สึกนี้สำคัญไม่แพ้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจริง ด้วยซ้ำ เพราะ “ภาพลักษณ์” ของรัฐบาล…ไม่ใช่เพียงเรื่องของนโยบาย แต่มันคือ…ความเชื่อมั่น ที่ประชาชนจะพึงมีต่อ “ความตั้งใจและความสามารถ” ของ “ผู้นำประเทศ” อีกด้วย
ในอีกแง่หนึ่ง การเลือกฟื้น “โครงการคนละครึ่ง” ยังสะท้อนให้เห็นถึงการ “ยอมรับ” ข้อจำกัดของตนเอง ของ “รัฐบาลอนุทิน” ว่า…ไม่สามารถจะสร้างปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจได้ภายในเวลาอันสั้น
แต่การเลือกที่จะ “ทำในสิ่งที่ทำได้” ย่อมมีคุณค่ามากกว่าการ “พูดในสิ่งที่อยากทำแต่ทำไม่ได้”
ภายใต้สถานการณ์การเมืองไทย ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่นนี้ ความจริงจังและการลงมือทำจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยต่ออายุรัฐบาลและรักษาความศรัทธาของประชาชน แม้จะเป็นเพียงในช่วงสั้น ๆ ก็ตาม
ถึงตรงนี้ หากมองจาก ทุกมิติ แล้ว การปัดฝุ่น “โครงการคนละครึ่ง” ของ “นายกฯอนุทิน” จึงเป็นมากกว่า…โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คือ “กลยุทธ์การเมือง” เพื่อสร้าง “ภาพลักษณ์ใหม่” ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
ทั้งยังเป็นการ “กระตุ้นชีวิตรัฐบาล” ให้ดำรงอยู่ในบรรยากาศที่ผู้คนรู้สึกว่า…รัฐบาลยังทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ
ไม่ใช่เพียงการ “สร้างฝัน” ที่สวยงามแล้วทิ้งไว้ให้เป็นหนี้ในอนาคต
แม้จะไม่สามารถ เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ได้ แต่ก็สามารถ เปลี่ยนความรู้สึกและทัศนคติของสังคมไทยที่มีต่อรัฐบาลได้
และ ในทางการเมือง นั้น บางครั้ง “ความรู้สึก” อาจสำคัญยิ่งกว่าตัวเลขเศรษฐกิจ ด้วยซ้ำไป!!!.