เผย! กลุ่ม ‘พนง.ของรัฐ’ มั่นใจสุดๆ ท่ามกลางความเชื่อมั่นผู้บริโภค มิ.ย.68 หดตัวแรง! จากปัจจัยลบรอบด้าน

“โฆษกพาณิชย์” เผย! ผลสำรวจความคิดเห็นคนไทย พบดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มิ.ย. 2568 อยู่ที่ระดับ 46.7 ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น เหตุจากความกังวล “ภาษีทรัมป์ – สงครามตะวันออกกลาง – ชายแดนไทย-กัมพูชา” เป็นหลัก ระบุ! ปัจจัยด้านเศรษฐกิจส่งผลกระทบมากสุด ตามมาด้วยมาตรการของภาครัฐ และการเมือง ชี้! กลุ่มพนักงานของรัฐมีความมั่นใจสูงสุด ที่ต่ำสุดกลายเป็น กลุ่มกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ และอาชีพรับจ้างอิสระ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) ในฐานะ “โฆษกกระทรวงพาณิชย์” เปิดเผย ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 5,652 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือน มิ.ย. 2568 อยู่ที่ระดับ 46.7 อยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ประกอบกับความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ อาทิ สถานการณ์หนี้ครัวเรือน และภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 46.7 ปรับลดลงจากระดับ 48.9 ในเดือน พ.ค. โดย ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลง มาจาก (1) ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาและความตึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมทั้งสถานการณ์ระหว่างไทย – กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและสถานการณ์การเมืองในประเทศ (2) การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (3) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการปรับลดลง ตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมากกว่าปีก่อน ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร และ (4) ระดับหนี้ของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจ อาทิ การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและหนี้สินของภาคธุรกิจ รวมถึง มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออก รวมทั้ง ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งคาดว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.35 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 13.68 การเมือง คิดเป็นร้อยละ 8.79 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 8.35 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 7.87 ราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 6.23 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 2.43 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 1.47 และ อื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.83 ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 1 ภาค คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 50.4 ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 47.1 ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 45.5 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 45.1 และ กรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 43.6 ซึ่งปรับลดลงเล็กน้อย จากเดือนก่อนหน้าและไม่อยู่ในช่วงความเชื่อมั่น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่า มีเพียง 1 กลุ่มอาชีพ ที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น คือ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 50.2 ขณะที่มี 6 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดย นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 48.6 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 47.6 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 46.7 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 45.9 ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 44.9 และ อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 44.4 สำหรับ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 31.6
“กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมภาคการค้าและภาคการผลิตทั้งในและต่างประเทศ โดยมี การเร่งระบายผลไม้ ภาคตะวันออกช่วงปลายฤดูกาล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนำเข้าของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้ง กำกับดูแลการนำเข้าสินค้าเกษตรคุณภาพต่ำอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในประเทศ ในขณะเดียวกัน ยังได้ผลักดันสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศผ่านการจัดแสดงในงานระดับนานาชาติ รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก” นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย.