‘ผู้นำจีน-ไทย’ จะรับมือ ‘แผนเอาคืน’ ของจีนเทาและแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างไร?
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2025/02/CoverR1-อิ๊ง-สี-001.jpg)
ทั่วโลกต่างจับตามอง…การเข้าพบ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อช่วงสายของวันที่ 6 ก.พ.2568 ณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ก่อนหน้านี้ มีหลายประเด็นได้ถูกนำมาผูกโยง…การเยือนแดนมังกรของ “ผู้นำไทย” ในครั้งนี้
นับแต่ที่ นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ของจีน เดินทางมาไทย เพื่อขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา ถูกแปลความหมายในทำนอง…
ทางการจีนกดดันให้ไทยต้องเร่งดำเนินการ “2 ตัด + 1 ห้าม” ก่อนการพบปะของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ จนนำไปสู่คำสั่งร้อนๆ จาก นายกฯแพทองธาร กระทั่ง ฝั่งไทยได้ทำการตัดกระแสไฟฟ้า และห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จไปยังเมียนมา ยกเว้น! เรื่องการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ยังไม่ลงตัว เพราะความเห็นของภาคเอกชนและเรกกูเรเตอร์…ยังไม่ตรงกับนโยบายของรัฐบาล
ฟังสิ่งที่ นายกฯแพทองธาร และ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง พูดแล้ว ชัดเจนว่า…เรื่องแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญของการพบปะกันในครั้งนี้…
“เรื่องความปลอดภัยของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญสูงสุด ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าความร่วมมือกับจีนในการสกัดกั้นกระบวนการอาชญากรรมที่เดินทางผ่านประเทศไทยและจะเตือนภัยผ่านกลไกความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงประเทศที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการ call center อย่างจริงจังแล้ว ในปัจจุบัน”
นั่นคือสิ่งที่ นายกฯแพทองธาร พยายามอธิบายถึงความพยายามในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ที่ส่งผลกระทบวงกว้างไม่เฉพาะกับประเทศไทยหรือจีน หากยังกลายเป็นปัญหาของหลายชาติในเอเชียและคนจากต่างทวีป
เช่นกัน ประโยคที่สื่อต่างประเทศหลายสำนัก อยากได้ยินปากของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คงไม่พ้นวลีเหล่านี้…
“จีนพร้อมสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ในการปราบปรามขบวนการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) การลักพาตัว การค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ของประชาชนจีนเช่นกัน ซึ่งเป้าหมายหลักของทั้งสองชาติ คือ การปราบปรามธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผ่านมาจีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและท้องถิ่น กระทั่ง สามารถปราบปรามยาเสพติดจนประสบความสำเร็จ โดยอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นความท้าทาย มีความเสี่ยงสูง และ จีนขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการตัดน้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ตและน้ำมัน ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ ได้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามของไทย จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ ด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค”
โฟกัสที่คำพูดของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ว่า…“ด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค”
ระดับอนุภูมิภาค คงไม่พ้น…กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ซึ่ง 5 ใน 6 ประเทศสมาชิก ล้วนเกี่ยวพันและได้รับผลกระทบโดยตรง จากน้ำมือของ ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นั่นคือ จีน ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา
ซึ่งคงในไม่ช้านี้ ผู้นำทั้ง 5 ชาติ จะต้องหารือร่วมกันถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาข้างต้น
ทันทีที่ ทางการไทย…ตัดไฟฟ้า และสั่งห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียนมา แก้ปัญหาด้วยการสั่งนำเข้าไฟฟ้าจากลาวแทน อีกทั้ง ยัวมีกระแสข่าวยืนยันว่า…บางส่วนของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ทยอยย้ายที่ตั้งสำนักงานไปยังเมืองปอยเปต ในดินแดนกัมพูชา แล้ว
ทั้ง จีนและไทย…อาจไล่ไม่จนมุม! หากไม่ลากเอา ลาวและกัมพูชา มาพูดคุยถึงแนวทางการปัญหานี้ด้วยกัน ผ่านเวทีกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง
สิ่งที่ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง สื่อสารในครั้งนี้ สะท้อนว่า…ทางการจีนเอาจริง! และมองเห็นว่า…ทั้งลาวและกัมพูชา คือ ปัญหาใหม่ ที่จะต้องลากเอามาพูดคุย เพื่อหยุดยั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ที่จริง…แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา สั่งซื้อไฟฟ้าจากลาวมาก่อนแล้ว เพียงแต่รอบนี้…เมื่อถูกตัดไฟฟ้าจากฝั่งไทย จึงต้องขอให้ทางการลาว เพิ่มปริมาณไฟฟ้าส่งออกไปยังเมียนมาให้มากกว่าเดิม แน่นอนว่า…หากรัฐบาลจีน ไม่ยื่นมืมาจัดการปัญหานี้ ลำพังไทย…คงไล่ไม่จนและเอาให้จบไม่ได้แน่!
ทว่าเรื่องนี้ เชื่อว่า…บรรดาแกนนำของขบวนการทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งจะว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็คือ “จีนเทา” คงจะหาทางออกไว้รองรับ พร้อมกับเปิดปฏิบัติแก้แค้นคืนเอากับทั้งไทยและจีน
หากจะย้ายไปกัมพูชา หรือไปที่ลาว แล้วจะเกิดปัญหาตามมา เป็นไปได้ว่า…บรรดา “จีนเทา” เหล่านี้ จะย้ายออกไปให้ไกลกว่าเดิม
ยังมีหลายประเทศเล็กๆ และอีกนับสิบหมู่เกาะกลางทะเล ที่กฎหมายแห่งสหประชาชาติ เข้าไปบังคับใช้ไม่ถึง ขอเพียงแค่มีโรงผลิตไฟฟ้า หรือจัดหาเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ได้ ปัญหาเรื่องไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการทำธุรกิจผิดกฎหมาย ก็คงไม่เกินขึ้น!
ยิ่งเป็นเรื่อง สัญญาณอินเตอร์เน็ต ด้วยแล้ว วันนี้…ไม่ใช่ปัญหาของขบวนการผิดกฎหมายเหล่านี้ เพราะพวกเขาได้ทดลองใช้ สัญญาณอินเตอร์ Starlink ซึ่งเป็น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากดาวเทียมไปสู่ทุกภาคพื้นของโลก (ยกเว้นขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้) ภายใต้โปรเจกต์ SpaceX ของ นายอีลอน มัสก์ (เจ้ากระทรวงใหม่ “ประสิทธิภาพของรัฐบาล” ในรัฐบาลของประนาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์) กันไปบ้างแล้ว
หากจำเป็นจะต้อง ย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้พ้นไปจากทวีปเอเชีย สิ่งนี้…ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะรุกกลับเอาคืน โดยโหมทำการหลอกลวงคนไทย…คนจีนให้มันหนักข้อมากยิ่งขึ้น
หลอกลวงเอาคนไทยและคนจีน ไปเป็นแรงงานทาสร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากเท่าไหร่? ก็คือความสะใจจากการแก้แค้น…เอาคืนกับรัฐบาลไทยและจีนมากเท่านั้น
เรียกว่า…แก๊ง “จีนเทา” เอง ก็คงจะเตรียมแผนการ ทั้งหลอกเอาเงินและหลอกเอาคนไปทำงานร่วมขบวนการฯ
แม้ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ จะยังไม่เกิดขึ้นนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่? เกิดเมื่อไหร่? แต่เป็นสิ่งที่…ผู้นำไทยและจีน จะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ
เหตุเพราะเรื่องจะ ยอมจำนน! เลิกทำธุรกิจผิดกฎหมายของผู้ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ที่มีผลประโยชน์ตอบแทนปีละนับหมื่นนับแสนล้านบาท นั้น
เชื่อขนมกินได้เลยว่า…มันคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างแน่นอน!!!.