‘ภูมิธรรม’ลั่น‘ไทย-ว้าแดง’ไร้สู้รบ อย่ากระพือ‘เสียดินแดน’เตือน ‘สนธิ’ ลงถนนอย่าให้ผิดกฎหมาย

‘ภูมิธรรม’ลั่น‘ไทย-ว้าแดง’อยู่ร่วมกัน 30 ปี ไร้สู้รบ อย่ากระพือข่าว‘เสียดินแดน’ เอาเก้าอี้‘รมว.กลาโหม’เป็น ประกัน ดีดปาก‘สนธิ’พูดเกินไป ปัดสั่ง‘ทัพเรือ’ปรับการฝึกห่าง‘เกาะกูด’ ชี้เป็นไปตามแผน ฮึ่ม‘สนธิ’ประกาศลงถนน อย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน

วันที่ 27 พ.ย. 2567 ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ การเผชิญหน้าระหว่างทหารว้าและทหารไทย ในพื้นที่ชายแดนทางภาคเหนือ ว่า ก็ไม่มีอะไรสถานการณ์สงบปกติ โดยตนเองได้สอบถามไปยัง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) รวมถึงแม่ทัพภาคที่3 ก็ได้รับคำตอบว่า ไทยกับว้า อยู่ร่วมกันมานานตามเขตแดนที่กำหนดไว้ว่าแต่ละฝ่าย ควรอยู่ในพื้นที่ใด และที่ผ่านมาได้ดูแลพื้นที่กันมาเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ในการพูดคุยกันก็ไม่มีปัญหาอะไร และยืนยันว่าไม่มีการรบ กันอย่างแน่นอน ไม่แน่ใจว่าข่าวออกมาได้อย่างไร เราต้องระวังในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงชายแดนบริเวณอื่นๆด้วย เรายึดถือหลักปฏิบัติ คือการไม่รุกล้ำอธิปไตยของเขา และเขาก็จะต้องไม่รุกล้ำอธิปไตยของเราเข้ามาเช่นกัน โดยเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า หากมีปัญหาอะไรที่เกิดขึ้น ก็สามารถพูดคุยกันได้ ประชาชนก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ ยืนยันว่ากองทัพไทย มีความพร้อมเต็มที่ในการปกครองอธิปไตยไม่มีใครมารุกรานเราได้ แน่นอนว่า การอยู่ร่วมกันของระหว่างทั้งสองประเทศ ต่างก็ยึดจุดของตัวเอง แต่เราก็ยึดความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทำให้สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ดีอยู่แล้ว

“ข่าวที่ออกมาก็มองได้หลายทาง อาจเป็นกลุ่มคนที่มีเป้าหมาย หรือเกิดจากการสื่อสารที่คาดเคลื่อน โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หากมีโอกาสรับรู้ก็จะได้มีการแก้ปัญหาได้อย่างเนิ่นๆ ยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ ที่จะต้องไปตามหาที่มาของข่าว เพราะอาจเกิดได้หลายสาเหตุ ซึ่งปัจจุบันกำลังว้า ตั้งอยู่ที่ชายแดนที่ได้ตกลงไว้ และได้ดำเนินการกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว หากไม่มีการ รุกล้ำเข้ามาก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้กำลัง เพราะอยู่ในพื้นที่ที่ตกลงกันไว้ เราอย่าไปพูดในทุกเรื่องว่าเป็นการเสียดินแดน ไปเสียทั้งหมด ไม่มีทหารคนไทยคนไหนที่ไม่รักชาติ อย่าห่วงเรื่องนั้น ขอให้เราอยู่กันแบบสันติ และพยายามใช้การพูดคุย อย่ากังวลขอยืนยันในฐานะผมเป็น รมว.กลาโหม ไม่มีทางที่เราจะยินยอมให้เสียแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” นายภูมิธรรม กล่าว

นอกจากนี้ ยังชี้แจงถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออกมาตั้งคำถามถึงตนว่าสั่งให้กองทัพเรือ (ทร.) เปลี่ยนฝึกใกล้เกาะกูด จ.ตราด หรือไม่ ว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้ว่าได้มีการไปฝึกซ้อม ซึ่งความจริงแล้วเป็นการฝึกซ้อมเล็กๆ ไม่ได้เป็นการฝึกซ้อมใหญ่แต่อย่างใด และเป็นการฝึกซ้อมตามวงรอบ

“การที่นายสนธิ ออกมาพูดเกินไปว่าผมไปสั่งการให้ย้ายถึงที่การฝึก ขอยืนยันว่าไม่มีอะไร และสามารถสอบถามผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ เพราะกองทัพเรือดำเนินการไปตามกระบวนการ การฝึกไม่ได้เจาะจงอยู่ในเฉพาะพื้นที่ใด แต่มีการเลื่อนพื้นที่ไปทางใต้บ้าง และเป็นไปตามแผนงานประจำปีของแต่ละเหล่าทัพ” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนเป็นคนสั่งการนั้น ขอถามนายสนธิว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะไม่มีการกล่าวแบบนี้และ จากการได้พบกับผู้บัญชาการทหารเรือเมื่อวานนี้ ทางผู้บัญชาการทหารเรือก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดตามที่นายสนธิออกมากล่าวอ้างจะกลายเป็นว่าผมไปสั่งได้อย่างไร ซึ่งผู้บัญชาการทหารเรือก็ยืนยันว่า รับผิดชอบเองได้และไม่ต้องให้ใครมาสั่งในเรื่องแบบนี้

ส่วนที่มีการเปลี่ยนจากการฝึกไปลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมันอ่าวไทยแทนนั้น นายภูมิธรรมย้ำว่า กองทัพเรือได้ทำตามแผนอยู่แล้ว และเป็นไปตามวงรอบการฝึกไม่สามารถ บิดเบือนได้ ซึ่งการลาดตระเวนก็มีหลายสาเหตุ อาจจะเป็นการดูพื้นที่บ้างหรือลาดตระเวนตามชายฝั่ง และแผนที่ที่กองทัพเรือวางไว้ ดังนั้นอย่าไปพูดเรื่องนี้จนกลายเป็นประเด็นอีกเนื่องจาก การดำเนินการ เกี่ยวกับเรื่องเกาะกูดเป็นเรื่องอ่อนไหวและอาจมีผลเสียหายต่อประเทศ เหมือนการไปยุยง ให้เกิดการต่อสู้กัน หรือใช้ความรุนแรงต่อกัน จึงเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ทั้งนี้ขอให้ฟังตามข้อเท็จจริง และขออย่าใส่ใจกับข่าวลือ-ข่าวปล่อยมากนัก

ส่วนการเปลี่ยนพื้นที่การฝึก เพื่อหลีกเลี่ยง การเข้าใจผิดระหว่าง 2 ประเทศใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะป้องกัน เพราะกองทัพเรือดำเนินการตามปกติ มีแต่ภายในประเทศมีแต่ภายในประเทศเราเท่านั้น ที่มากระตุ้นกันเอง

ส่วนการเรียกผู้บัญชาการทหารเรือเข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานนี้ ไม่ได้มีการหารือเรื่องใดเป็นพิเศษ ซึ่งผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เข้ามารายงานตามวงรอบ และที่ผ่านมาก็คุยกับทุกเหล่าทัพ เพราะอยากจะทราบปัญหาในการทำงาน เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เพราะถือว่าทุกเหล่าทัพมีความสำคัญ และมีความสัมพันธ์เป็นพี่เป็นน้อง และเป็นเพื่อนร่วมงานกัน มากกว่าจะคิดว่าเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวคิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีนั้น จะช่วยแก้ปัญหา ในหลายเรื่องได้ เพราะวันนี้มาถึงจุด ที่ทุกคนต้องร่วมกันสร้าง และสร้างกองทัพให้เป็นกองทัพยุคใหม่ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงและมีความท้าทายใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เราพูดคุยกัน หรือประชุมร่วมกัน ก็เพิ่อหาแนวทางในการปรับตัวกองทัพรับความท้าทายใหม่ๆ และภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น และนำมาแก้ไขจุดอ่อนเพราะอยากเห็นการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ต้นเพื่อจะได้หางบประมาณ มาดำเนินการ เช่นการขุดลอกคูคลอง การสร้างกำแพงน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ท่วมซ้ำซาก เพราะโดยส่วนตัวมองว่าต้องทำมากกว่าการดูแลเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้ง

ส่วนกรณีที่นายสนธิ ประกาศลงถนนนั้น นายภูมิธรรม ในฐานะดูแลด้านความมั่นคง ย้ำว่า เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย อย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password